กองทัพอากาศ แจง F-16 บินผ่านพิธีลอยอังคารอดีต ผบ.ทอ. เทิดเกียรติผู้มีคุณูปการทัพฟ้า

กองทัพอากาศ แจงจากกรณี พรรคก้าวไกล แฉอดีต ผู้บัญชาการทหารอากาศ ใช้ F-16 บินไว้อาลัยพ่อตนเอง

เรืออากาศโท ธนเดช เพ็งสุข ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล แถลงเมื่อวันพฤหัสบดี (2 ก.พ.) ว่า อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.อ.อ. นภาเดช ธูปะเตมีย์ ใช้เครื่องบินรุ่น F-16 (เอฟ-1) บินไว้อาลัยแล้วก็ลอยอังคารพ่อของตนเอง ซึ่งก็คือ พล.อ.อ. ประพันธ์ ธูปะเตมีย์ ที่เคยเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ ระหว่างปี 2526-2530

“ได้มีการจัดพิธีลอยอังคารขึ้น แล้วก็ใช้เครื่องบิน F-16 นะครับ สำหรับการบินเทิดเกียรตินะครับ อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ ซึ่งก็คือบิดาของ พล.อ.อ.นภาเดช นะครับ” ร.ท.ธนเดช กล่าว

“นี่เป็นการใช้อากาศยานแบบ F-16 ครับ เพื่อประโยชน์ส่วนตนนะครับ ในภารกิจส่วนตัวโดยแน่ชัดนะครับ ซึ่งการใช้อากาศยานแบบ F-16 ครับ จะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยตกที่ 1. เป็น O/M Cost (ค่าใช้จ่ายสำหรับในการดำเนินการและก็ซ่อมบำรุง) นะครับ 1 ชั่วโมงราวๆ 120,000 บาท นะครับ ซึ่งอันนี้ได้มีการใช้ F-16 จำนวน 2 ลำนะครับ เฉลี่ยค่าใช้จ่าย 2 ชั่วโมงอยู่ที่ 200,000 กว่าบาทนะครับ”

ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกล เอ่ยถึง พล.อ.อ.นภาเดช อีกว่าเป็นคนเดียวกับที่เคยให้ความเห็น ต่อการบินรุกน้ำน่านฟ้าไทยของกองทัพเมียนมา เพื่อโจมตีกลุ่มต่อต้านรัฐประหารและกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ ว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่

“พล.อ.อ.นภาเดช เป็นคนที่เคยพูดไว้ ในวันที่ทหารของพม่านะครับ บินลัดเข้ามาน่านฟ้าไทย ท่านเคยให้ข่าวว่า เหมือนเพื่อนมาลัดสนามหน้าบ้าน แต่กับพิธีลอยอังคารของบิดาท่าน F-16 กลับมาบินได้อย่างตรงเวลานะครับ”

ก้าวไกล แฉอดีต ผบทอ
ไม่คาดหวังฝีมือ รมว.กลาโหม

นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่มาแถลงด้วยนั้น กล่าวเรียกร้องให้กองทัพอากาศชี้แจงประเด็นนี้ และยกตัวอย่างว่า แม้แต่ระดับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นบางแห่ง ก็ยังมีการจำคุกนายกเทศมนตรี ที่นำรถยนต์ของรัฐ มาใช้กับเรื่องส่วนตัว

ส.ส. พรรคก้าวไกล รายนี้ พูดว่าตนไม่คาดหวัง ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งก็คือ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาแก้ปัญหาเรื่องนี้ เนื่องจากมั่นใจว่าไม่มีความสามารถและก็กำลังจะหมดวาระในไม่ช้า

“อาจจะไม่สามารถพึ่งอะไร หรือคาดหวังอะไร กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนปัจจุบันนี้แล้ว ที่กำลังจะหมดวาระ หมดอายุขัยลงไปแล้ว” นายพิจารณ์ กล่าว

นอกเหนือจากนี้ นายพิจารณ์ ยังกล่าวย้ำ จุดยืนของพรรคก้าวไกลอีกว่า จะเดินหน้าผลักดัน การปฏิรูปกองทัพ ด้วยการนำทหารออกมาจากการเมือง การลดขนาดกำลังพลแล้วก็จำนวนนายพล การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร คืนธุรกิจกองทัพให้รัฐบาล แล้วก็คืนที่ราชพัสดุ เพื่อใช้สำหรับสาธารณะ

กองทัพอากาศแจง F-16 บินผ่านพิธีลอยอังคารอดีต ผบ.ทอ. เทิดเกียรติผู้มีคุณูปการ ริเริ่มจัดหา F-16 เข้าประจำการทัพฟ้า หลังจากจบภารกิจบินลาดตระเวนตามวงรอบ

สืบเนื่องจากพิธีพระราชทานเพลิงศพ เมื่อเวลา 17.10 น. วันที่ 2 ก.พ. 2566 พล.อ.ต.ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ เผยออกมาว่า จากที่ปรากฏข่าวสารในสื่อต่างๆ ถึงกรณีความผิดปกติ สำหรับการใช้เครื่องบิน แบบ F-16 ของกองทัพอากาศนั้น กองทัพอากาศได้ตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นการบินทดสอบ การปฏิบัติการร่วม ในภารกิจการบินลาดตระเวน และก็แจ้งเตือน ซึ่งการปฏิบัติภารกิจนี้ เป็นวงรอบการฝึก เพื่อดำรงความพร้อม สำหรับในการปฏิบัติภารกิจการป้องกันประเทศ เพื่อบูรณาการความสามารถ สำหรับในการปฏิบัติการตามแผนปกป้องประเทศ

ประพันธ์ ธูปะเตมีย์
ซึ่งในวันดังกล่าว เมื่อสิ้นสุดการปฏิบัติภารกิจ การบินทดสอบการปฏิบัติการร่วมแล้ว กองทัพอากาศ แล้วได้นำเครื่องบินในหมู่บินดังกล่าว บินผ่านเพื่อเทิดเกียรติ

ในพิธีลอยอังคารของ พล.อ.อ.ประพันธ์ ธูปะเตมีย์ อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ ซึ่งเป็นผู้ที่มีคุณูปการ สำหรับการพัฒนาความสามารถกำลังทางอากาศ

โดยท่านเป็นผู้ที่มีความคิดริเริ่มสำหรับในการจัดหาเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์สมรรถนะสูงแบบ F-16 เข้าประจำการในกองทัพอากาศไทย ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มแรกของการพัฒนากองทัพอากาศ ให้มีความทันสมัย พร้อมรองรับความท้าทายและภัยคุกคามในช่วงเวลานั้น ที่เป็นยุคสงครามเย็น โดยการบินดังกล่าว เป็นการกระทำพิธีให้สมเกียรติ สืบเนื่องมาจาก พิธีพระราชทานเพลิงศพของท่าน

ทั้งนี้ กองทัพอากาศตั้งใจจริงสำหรับในการพัฒนากองทัพอากาศ ตามวิสัยทัศน์ของอดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ เพื่อดำรงไว้ซึ่งขีดความสามารถของกองทัพอากาศสืบไป

พล.อ.อ. ประพันธ์ ธูปะเตมีย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ คนที่ 10 ดำรงตำแหน่งตอนปี 2525-2530 อดีตรองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 แล้วก็อดีตสมาชิกวุฒิสภาแบบแต่งตั้ง

รับราชการครั้งแรกตอนวันที่ 1 มิถุนายน 2487 ในตำแหน่งนักเรียนนายร้อยทหารบก ดำรงตำแหน่งที่สำคัญได้แก่ นักบินประจำกอง, ครูการบิน, ผู้บังคับฝูงฝึกขั้นปลาย กองฝึก โรงเรียนการบิน, รองผู้บังคับกอง กองฝึก โรงเรียนการบิน, อาจารย์ฝ่ายวิชาการ กองวิชาการ โรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศ, ผู้ช่วยทูตทหารอากาศ ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา, รองผู้อำนวยการกองการศึกษา โรงเรียนเสนาธิการททหารอากาศ

ผู้บังคับการกองบิน 7, เจ้ากรมการเงินทหารอากาศ, เจ้ากรมส่งกำลังบำรุงทหารอากาศ, ผู้ช่วยเสนาธิการทหารอากาศ ฝ่ายยุทธบริการ, รองเสนาธิการทหารอากาศ, รองผู้บัญชาการทหารอากาศ, ผู้บัญชาการทหารอากาศและ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด

พลอากาศเอก ประพันธ์ ธูปะเตมีย์ ถึงแก่อนิจกรรมเนื่องจากว่าติดเชื้อในกระแสเลือด ณ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ เมื่อวันอังคารที่ 3 เดือนธันวาคม พุทธศักราช 2562 สิริอายุรวม 92 ปี

นอท กองสลากพลัส ประกาศคนถูกรางวัล "DSIจะไม่โทรไปหา" แจ้งช่องทางตามเงื่อนไขใหม่

นอท กองสลากพลัส แจ้ง คนถูกรางวัล DSI จะไม่โทรไปหา ขอประชาชนติดตามเงื่อนไขแล้วก็รูปแบบจากกรมสอบสวนคดีพิเศษเท่านั้น ย้ำระวังมิจฉาชีพ

จากกรณี กองสลากพลัส แจ้งว่า งวด 1 ก.พ. 66 หลังจากประกาศผลรางวัลเสร็จเรียบร้อย จะคัดแยกลอตเตอรี่ใบจริงที่ถูกรางวัล ส่งให้ทาง DSI ดำเนินการต่อ แล้วต่อจากนั้น DSI จะติดต่อลูกค้า เพื่อส่งลอตเตอรี่ใบจริงที่ถูกรางวัล และลูกค้าจะต้องนำลอตเตอรี่ไปขึ้นเงินรางวัลด้วยตัวเอง เนื่องจากกองสลากพลัสถูกระงับบัญชีบริษัททั้งหมด ไม่อาจจะทำธุรกรรมทางการเงินได้

ล่าสุด วันที่ 1 ก.พ. 66 นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือนอท กองสลากพลัส ออกมาแจ้งผ่านเฟซบุ๊กว่า พรุ่งนี้คนถูกรางวัล DSI จะไม่โทรไปหา พร้อมระบุรายละเอียดว่า พรุ่งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะประกาศเงื่อนไขและก็รูปแบบ ในการรับเงินรางวัล ของผู้ถูกรางวัลที่ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลจาก กองสลากพลัสให้ประชาชนทราบโดยพร้อมกัน

โดยวิธีการที่กำหนดนั้น จะเป็นการดำเนินการร่วมกับ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จะไม่มีการโทรไปหาประชาชนจาก DSI ในเรื่องเกี่ยวกับการถูกรางวัลใดๆ ขอประชาชนติดตามเงื่อนไขแล้วก็รูปแบบจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ เท่านั้น ย้ำว่าจะไม่มี DSI โทรหาผู้ใด ระวังมิจฉาชีพนะครับ

คนถูกรางวัล DSI
“นอท กองสลากพลัส” ยันไม่เคยฟอกเงินให้ใคร พร้อมยุติการขายชั่วคราว จนกว่าจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้

”นอท พันธ์ธวัช” เคลื่อนไหวแล้ว หลังจากมีข่าวโดน DSI แจ้ง 2 ข้อกล่าวหา ทั้งฟอกเงินและจัดให้มีการเล่นพนัน เจ้าตัวยันไม่เคยฟอกเงิน พร้อมยุติการขายลอตเตอรี่ จนกว่าจะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้

จากกรณีแหล่งข่าวในกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) บอกว่า นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือนอท ผู้บริหาร บริษัท ลอตเตอรี่ออนไลน์ เจ้าของแพลตฟอร์ม “กองสลากพลัส” ได้เดินทางเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาใน 2 คดี เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน แล้วก็จัดให้มีการเล่นการพนัน ตามหมายเรียกของดีเอสไอที่ออกไปก่อนหน้าที่ผ่านมา โดยวันนี้นายพันธ์ธวัชได้เดินทางมาด้วยตนเอง และได้รับการประกันตัวออกไป ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดวันที่ 31 มกราคม เฟซบุ๊กของ “ซีอีโอกองสลากพลัส” ออกมาคลื่อนไหว โดยเจ้าตัวได้โพสต์ข้อความยืนยันความบริสุทธิ์ ยันไม่ได้มีการฟอกเงินตามที่เป็นข่าว โดยได้ระบุข้อความสั้นๆ ว่า

“เนื่องจากเป็นคดีที่กระทบต่อความเชื่อมั่น ผมขอเวลาในการพิสูจน์ตัวเอง และผมยืนยันว่าผมไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ผมไม่เคยฟอกเงินให้ใคร”

อย่างไรก็ตาม มีรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเข้ารับทราบ 2 ข้อกล่าวหาของ “นอท กองสลากพลัส” จาก DSI ว่า ในเวลานี้จะทำการยุติการขายลอตเตอรี่ จนกว่าตัวเองจะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้

“นอท กองสลากพลัส” จบเห่!?…เจอสองข้อหาหนัก ฟอกเงิน-จัดให้เล่นการพนัน..แพลตฟอร์มหวยออนไลน์ มาไว ไปไว

ในที่สุด “นอท” พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ ซีอีโอ กองสลากพลัส แพลตฟอร์มขายหวยออนไลน์ชื่อดัง ก็ต้องคดีเพิ่มอีกสองคดีแบบจุกๆ หนักๆ ทั้ง “ฟอกเงิน” แล้วก็ “จัดให้มีการเล่นพนัน”

หวยงวดนี้ที่ “นอท” ถูก มาจากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ขยายผลจากการจับกุมแก๊ง “บัญชีม้า” ก่อนหน้าที่ผ่านมา แล้วพบพัวพันกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ สืบไปสาวมาก็เจอว่าเส้นทางการเงินสีเทาๆ เหล่านั้นตรงรี่มาที่บัญชีของ “นอท”

ในขณะที่เจ้าตัวไม่ยอมรับทุกข้อกล่าวหา ซึ่งมั่นใจ 100% ไม่เคยฟอกเงินให้ใคร และจะสู้คดีในชั้นศาล

นอท พันธ์ธวัช
“นอท” ยังยืนยันตัวเองไม่ได้ทำตามที่ถูกกล่าวหา แต่ว่าเมื่ออยู่ภายใต้กฎหมายไทยก็จำต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

พร้อมๆ กันนี้ “นอท” ได้ประกาศปิดแพลตฟอร์มของตน ยุติการจำหน่ายลอตเตอรี่ จนกว่าจะมีคำตัดสิน ประหนึ่งเพื่อแสดงสปิริตหล่อๆ ทั้งๆ ที่จริงถ้า “นอท” ไม่แสดงสปิริต “ดีเอสไอ” ก็แจ้งไปยังกระทรวงดิจิทัลฯ ให้ปิดแพลตฟอร์มขายหวยออนไลน์กองสลากพลัสอยู่แล้ว

แม้ทางกองสลากพลัสจะถูกปิดลง ตามประสาคนชอบพูดโอ่ ซีอีโอ กองสลากพลัส ยังกล่าวว่า ตัวเองมีโครงการอื่นๆ ที่จะทำอีกมากมาย ต่อยอดจากแบรนด์กองสลากพลัสที่โหมประโคมโฆษณา จนติดหูติดตาชาวบ้าน

เรียกว่า ไม่สะทกสะท้านสะเทือนใดๆ และก็จะไม่ถอดใจเพียงเท่านี้!!

เรื่องราวเฉพาะหน้าหลังจากนี้ ก็เป็นเรื่องของ “นักเสี่ยงโชค” ที่กดซื้อหวยจากกองสลากพลัสไปแล้ว มีคำถามว่าจะทำยังไงถ้าหากถูกรางวัลขึ้นมา “นอท” ก็โบ้ยไปที่ ดีเอสไอ เนื่องจากลอตเตอรี่ถูกอายัด คนที่ถูกหวย ดีเอสไอ จะติดต่อส่งลอตเตอรี่ให้ถึงมือภายใน 7 วัน แล้วลูกค้านำไปขึ้นเงินด้วยตัวเองได้ตามปกติ แต่ถ้าหวยหาย ก็จะต้องทวงที่ดีเอสไอ เหมือนกัน

ดูๆ แล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในประเด็นนี้ แต่ว่าบรรดาคอหวย ที่ไม่ได้ติดตามข่าวคราว ก็อาจจะตกใจเล็กน้อย ที่ถ้าหากดีเอสไอ โทร.หา เนื่องจากว่า บ่อยครั้งที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ก่อกวนเราๆท่านๆ มักอ้างตัวเป็นดีเอสไอด้วยนี่สิ ก็ขอโปรดตรวจสอบกันให้ดีๆ ก็แล้วกัน

ถึงตรงนี้ก็ถามไถ่กันมาว่า “กองสลากพลัส” จะกลับมาได้หรือเปล่า เส้นทางของ “นอท พันธ์ธวัช” จะจบเห่ลงเพียงนี้หรือเปล่า? ก็ต้องพูดว่า ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงดิจิทัลฯ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เก็บรวบรวมหลักฐานในการปิดกั้นแพลตฟอร์มขายสลากออนไลน์ไม่ถูกต้องตามกฎหมายรวมทั้งกรณีแพลตฟอร์มของกองสลากพลัสเอาไว้หมดแล้ว ทั้งเรื่อง ฟอกเงิน ขายสลากเกินราคา จัดให้เล่นการพนัน แล้วก็โฆษณาเกินจริง ซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ยื่นเรื่องไปที่ศาล ขอปิดกั้นแพลตฟอร์ม กองสลากพลัสแบบถาวร ซึ่งในเวลานี้อยู่ระหว่างการไต่สวนของศาล

นอกจากกองสลากพลัส ยังมีข้อมูลว่า ตั้งแต่เดือน มิ.ย.ปีที่ผ่านมา กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ยื่นคำร้องต่อศาล ในการขอปิดกั้นแพลตฟอร์มอื่น ที่เข้าข่ายจำหน่ายสลากอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ตามที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้แจ้งความดำเนินคดีต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 15 แฟลตฟอร์ม ซึ่งศาลมีคำสั่งปิดกั้นแล้ว 12 แพลตฟอร์ม ส่วนที่เหลืออีก 3 แพลตฟอร์ม อยู่ระหว่างดำเนินการในชั้นศาล

แพลตฟอร์มหวยออนไลน์มาไว ก็ไปไว จะถึงคราวอวสานหรือไม่ วิเคราะห์กันได้ไม่ยาก ส่วนชะตากรรมของ “นอท พันธ์ธวัช” ก็ขึ้นอยู่กับการหลักฐาน พยาน…จะจบเห่ หรือ จะแพ้เป็นถ่าน จะผ่านเป็นเพชร อย่างที่เจ้าตัวชอบยกมาปลุกปลอบใจตัวเองก็รอดูกัน

ที่แน่ๆ งานนี้ไม่มีเสี่ยงโชค ถ้ากรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา นะจ๊ะ!!

"ครูบาไก่" ขอขมาคณะสงฆ์ รับผิดข้อวินัยอาบัติ ปมซ้อนเจ็ตสกี-เล่นบานาน่าโบ๊ต

“ครูบาไก่” เข้ากราบขอขมาคณะสงฆ์ รับผิดข้อวินัยอาบัติ ปมดราม่าภาพซ้อนเจ็ตสกี-เล่นบานาน่าโบ๊ต พร้อมลั่นวาจาต่อไปนี้ จะไม่ทำอีกให้ชาวโลกได้ติเตือน

วันที่ 31 มกราคม 2566 นักข่าวรายงานว่า จากกรณีดราม่าถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง ในโลกออนไลน์ สำหรับพระอาจารย์สุวิทย์ ชินวโร หรือครูบาไก่ เมื่อมีการแชร์ภาพครูบาไก่ ขณะเล่นน้ำในบริเวณลำธาร ลักษณะที่คล้ายน้ำตก ภาพนั่งเจ็ตสกีซ้อนท้ายชายหนุ่มในทะเล รวมทั้งคลิปล่าสุด ที่ปล่อยออกมา ขณะเล่นบานาน่าโบ๊ต กับลูกศิษย์ ทำให้โซเชียลเข้ามาแสดงความคิดเห็น และวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมากถึงความเหมาะสม

ซึ่งทางครูบาไก่เอง ก็ได้ออกมายอมรับว่า ในรูปภาพ แล้วก็คลิป ที่มีการเผยแพร่ออกมานั้น เป็นตัวเองจริง แต่ว่าเป็นความผิดไม่ถึงขั้นปาราชิก จึงไม่ต้องทำการสึก แต่ว่าเป็นในเรื่องของโลกวัชชะ โลกติเตียนทางผู้ใหญ่ ก็จะดำเนินการทางวินัยของสงฆ์ให้เข้ากรรม หรือปลงอาบัติต่าง ๆ ตามความเหมาะสม

ครูบาไก่ ขอขมาคณะสงฆ์
ล่าสุดที่ ครูบาไก่ได้โพสต์ภาพขณะเข้าพบคณะสงฆ์อำเภอมัญจาคีรี

ที่สำนักงานเจ้าคณะอำเภอมัญจาคีรี ฝ่ายธรรมยุต ผ่านเฟซบุ๊ก ครูบาไก่ วัดป่าปฐม ระบุข้อความว่า กราบขอขมา รับผิดข้อวินัยอาบัติ เรื่องสรงน้ำในลำธาร และนั่งเรือ ข้าพเจ้าขอน้อมรับผิดต่อหน้าพระอุปัชฌาย์ พระผู้ปกครองคณะสงฆ์มัญจาคีรี เพื่อให้ตักเตือนและกล่าวโทษตามข้อพระวินัย ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะไม่ทำขึ้นอีกให้ชาวโลกได้ติเตือน ข้าพเจ้าขอน้อมรับอาบัติปาจิตตีย์ ขอแสดงอาบัติ และให้สั่งสอนตามความเหมาะสม อันไหนผิดข้าพเจ้าขอน้อมรับ อันไหนไม่ผิด ขอให้เป็นไปตามข้อกฎหมายของบ้านเมือง ด้วยความเคารพพ่อแม่ครูอาจารย์

พระสุวิทย์ ชินวโร

30 มกราคม 2566

เวลา 15.00 น.

สำนักงานเจ้าคณะอำเภอมัญจาคีรี (ธ)

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มอีกว่า สำหรับกรณีของครูบาไก่ ซึ่งทางคณะสงฆ์ที่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบความจริง เรื่องภาพของลับ ที่อิคคิวพร้อมพวก เอามากล่าวหาครูบาไก่ ยังคงยุติการตรวจสอบชั่วคราว เพื่อรอการสอบสวนของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนสรุปสำนวนส่งฟ้องอัยการ เพื่อเข้าสู่ชั้นศาลโดยต้องรอให้คดีถึงที่สุด จึงจะดำเนินการตามวินัยของสงฆ์ต่อไป โดยยึดตามคำพิพากษาของศาล

แต่ในส่วนของการอาบัติปาจิตตีย์ เรื่องส่งน้ำในลำธาร รวมทั้ง นั่งเจ็ตสกีเล่นบานาน่าโบ๊ท ก็ถือว่าได้ทำการปลงอาบัติตามวินัยของสงฆ์แล้ว ก็ทำให้จบไปในส่วนนี้ เหลือแค่เรื่องภาพของลับ ที่อิคคิวอ้างว่าเป็นของครูบาไก่ ที่ส่งให้เจนเพียงแค่นั้น ในส่วนคลิปต่าง ๆ ที่ออกมาเพิ่มเติมอีก ก็มีการนำแหล่งอ้างอิงมาหักล้างไปด้วยเช่นกัน

ข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก ครูบาไก่ วัดป่าปฐม

ครูบาไก่ ซ้อนเจ็ตสกี

เปิดประวัติความเป็นมา “ครูบาไก่” เจ้าอาวาสวัยเพียง 30 ปี ชาวบ้านร่ำลือมีญาณสูง หูทิพย์ ตาทิพย์

ปัจจุบันเกิดกระแสเลื่องลือวงการผ้าเหลืองขึ้นอีกที หลังสมภารวัดดัง ในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “ครูบาไก่”พระครูสุวิทย์ ชินวโร ผู้ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหาให้ความเคารพนับถือ แล้วก็เลื่อมใสเป็นจำนวนมาก ส่วนข่าวที่ทำให้มีชื่อเสียงเยอะขึ้นเรื่อยๆนั้น มาจากการตามหาช้างพังบัวนาที่หลุดเข้าป่า เมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา รวมทั้งการกล่าวถึงในเรื่องของผู้มีนิมิต ตาทิพย์หูทิพย์ ยิ่งทำให้มีผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อไม่นานนี้ยิ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งประเทศ หลังจากมีภาพหลุดหลักฐานแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ออกมาตามสื่อออนไลน์ แม้กระนั้นลูกศิษย์ญาติโยมผู้ศรัทธาในตัว “ครูบาไก่” ต่างออกมาให้กำลังใจ และก็ปกป้อง ซึ่งประเด็นร้อนดังกล่าวนี้ จะต้องติดตาม และรอพิสูจน์กันต่อไป

เส้นทางชีวิตครูบาไก่ : พระครูสุวิทย์ ชินวโร

ชีวประวัติครูบาไก่ พระครูสุวิทย์ ชินวโร เกิดเมื่อวันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2535 บ้านหนองก้านเหลือง อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น มีพี่น้อง 4 คน โดยครูบาไก่เป็นบุตรคนสุดท้องในพี่น้องทั้ง 4 คน ในวัยเด็ก เมื่ออายุ 6 ขวบเรียนหนังสือที่วัดโนนศิลา บ้านหนองก้านเหลือง อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น เรียนจบอายุ 12 ปี ต่อมาได้ศึกษาธรรมะต่อที่วัดป่าศรีมัญจาคีรี บ้านหนองไม้ตาย และได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อปี 2548 ที่วัดโคกสว่าง ต.สวนหม่อน อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น โดยมีหลวงปู่เสถียร บ้านหนองไฮเป็นพระอุปัชฌาย์

จากนั้นได้จาริกไปกับหลวงปู่เขี่ยม โสรโย ถ้ำขาม อ.พนัสนิคม จ.สกลนคร เมื่ออายุครบ 20 ปีได้อุปสมบทเป็นพระเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2555 ที่วัดป่าหนองแปลง อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น โดยมีพระครูสถิตสมณคุณ (หลวงพ่อสมาน ถาวโร) เจ้าคณะอำเภอมัญจาคีรี ฝ่ายธรรมยุตเป็นพระอุปัชฌาย์ซึ่งได้รับฉายาว่า “ชินวโร”แปลว่า “ผู้ชนะอันประเสริฐ” เมื่ออุปสมบทจำพรรษาที่วัดป่าโสรโย (วัดป่าบ้านขุมดิน) บ้านขุมดิน อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น

ปัจจุบันได้บูรณะสร้างวัดใหม่และเป็นเจ้าอาวาส วัดป่าปฐมเทวาบูรพาราม บ้านป่าผุ ต.สวนหม่อน อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น สำหรับพระครูสุวิทย์ ชินวโร หรือครูบาไก่ อายุ 30 ปี ได้บวชอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ มานานกว่า 10 พรรษา ชาวบ้านมีการร่ำลือว่า “ครูบาไก่” เป็นผู้มีญาณสูงเคยเห็นนิมิตพระพุทธรูปตามที่ต่าง ๆ เมื่อชาวบ้านพากันไปขุด ก็พบตรงตามที่ครูบาไก่แจ้งไว้ ทำให้ชาวบ้านหลายคนศรัทธา และเชื่อว่า ครูบาไก่มีหูทิพย์ ตาทิพย์

โดยมีคำร่ำลือของชาวบ้านเชื่อกันว่าครูบาไก่ มีญาณสูง หูทิพย์ ตาทิพย์ ในอดีตเคยช่วยชาวบ้านจากอาการเจ็บป่วย จากการนั่งนิมิตเห็นพระในที่ของผู้ที่ป่วย เมื่อชาวบ้านไปขุดก็พบจริงและหายป่วยหลังจากขุดพระขึ้นมา จนเป็นที่ร่ำลือของชาวบ้าน

เหตุที่ถูกเรียกครูบา ?

อาจเป็นอีกคำถามที่หลายคนสงสัย ว่าทำไมต้องเรียกครูบาเพราะด้วยที่ก็ดูอายุยังน้อย สำหรับคำว่า “ครูบา” หมายถึง เป็นคำใช้เรียกผู้อบรม สั่งสอนทั้งในด้านความรู้และมารยาท เป็นคำใช้เรียกพระเถระผู้เป็นที่เคารพนับถือส่วนใหญ่จะใช้เรียกพระที่แก่พรรษา อีกทั้งทางภาคอีสานบางพื้นที่ก็ใช้เรียกพระสงฆ์ผู้ทำประโยชน์เพื่อสังคม เป็นที่นับถือและศรัทธาได้รับการยอมรับในวงกว้าง ซึ่งทุกวันนี้เหล่าสายานุศิษย์มักนิยมเรียกพระสงฆ์ที่นับถือว่าครูบากันมาก

อะเมซิ่งไทยแลนด์ นักท่องเที่ยวจีนเดินเหยียบฝาท่อผุหน้าเมืองโบราณ ร่วงลงไปมิดขา

อะเมซิ่งไทยแลนด์ นักท่องเที่ยวจีน เดินเหยียบฝาท่อผุ หน้าเมืองโบราณ หล่นลงไปมิดขา กรมทางหลวงรุด เปลี่ยนฝาใหม่ ให้ในทันที

จากกรณีที่ เพจข่าวสารเมืองปราการ ได้โพสต์ข้อความระบุ ว่า อะเมซซิ่งสมุทรปราการ นักเดินทางคนจีน มาท่องเที่ยวเมืองโบราณ ระหว่างเดินบนทางเดินริมทางสุขุมวิท เกิดพลัดตกท่อ โชคดีเจ็บไม่เยอะ น่าจะเป็นการ เที่ยวไทย ที่จำเป็นต้องจดจำไปแสนนาน ฝากผู้ที่มีการเกี่ยวข้องแก้ไขด้วยนะครับ

อะเมซิ่งไทยแลนด์
อะเมซิ่งไทยแลนด์ จริงๆ เมื่อวันที่ (26 เดือนมกราคม 2566) นักข่าวลงพื้นที่ ไปยังจุดเกิดเหตุ หน้าเมืองโบราณ

สถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อเสียง ริมทางสุขุมวิท ตำบล บางปูใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ สมุทรปราการ พบว่าฝาท่อที่ชำรุดเป็นรูกว้าง ยังไม่มีการปรับปรุงปรับปรุงแก้ไขซ่อมแซม มีเพียงแต่ชาวบ้าน ได้นำเอาแผ่นไม้มาวางทับไว้ พร้อมกับตั้งกรวยจราจรไว้ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำ เดิมอีก นายธนกฤษ อายุ 52 ปี ผู้เห็นเหตุการณ์

เล่าว่า เรื่องเกิดขึ้น ช่วงราวๆ 17.30 น. ในช่วงเวลาที่ตนนั่งรอเพื่อน อยู่ที่หน้าเมืองโบราณ เห็นนักเดินทางโดยประมาณ 5-6 คน ลงมาจากรถตุ๊กตุ๊ก ของเมืองโบราณ เพื่อมาต่อรถที่ข้างทางสุขุมวิท ระหว่างที่นักเดินทางชายคนจีน อายุราว 50 ปี เดินมาที่ศาลารอรถ ก็เกิดเหยียบฝาท่อที่ชำรุดทรุดโทรม โดยตกลงไปทั้งขา

ตนเลยเดินมาช่วยเหลือ ซึ่งคนที่ได้รับบาดเจ็บ มีลักษณะอาการตกอกตกใจ รวมทั้งเจ็บที่บริเวณขาซ้าย มีบาดแผลถลอกปอกเปิก และก็ คงจะเจ็บที่บริเวณต้นขาด้วย เพราะเหตุว่าตกไปมิดขา

เบื้องต้น ตนมีความรู้สึกว่า ฝาท่อน่าจะผุ อยู่แล้ว แต่รูยังไม่กว้าง อาจทำให้ผู้ได้รับบาดเจ็บ ไม่ทันได้สังเกต จึงเดินมาเหยียบ ฝาท่อ ที่ผุ อยู่แล้ว เลยได้ตกลงไป

นายธนกฤษ ยังได้กล่าวอีกว่า หลังเกิดเหตุนี้ นักท่องเที่ยวชาวจีนก็ช่วยเหลือกัน พยุงคนที่บาดเจ็บ ไปที่ศาลารอรถอยู่นาน ก่อนจะขึ้นรถสาธารณะออกไป ไม่ทราบว่าเดินทางกลับที่พัก หรือว่าไปโรงพยาบาล ตนกับเพื่อน เลยนำแผ่นไม้ ไปวางทับฝาท่อไว้ และ วางกรวยจราจร เพื่อเตือนผู้ที่เดินผ่าน จากนี้ ตนก็ขอฝากไปถึง หน่วยงานที่รับผิดชอบ ให้ช่วยมาปรับปรุง ด้วยเหตุว่าจุดนี้ เป็นสถานที่เที่ยว ซึ่งโดยรวมก็ดีทั้งหมดทุกอย่าง ยกเว้นฝาท่อที่ทรุดโทรม

ล่าสุด เมื่อเวลา 11.00 น. ของ วันที่ 26 มกราคม 2566 ข้างถนนสุขุมวิท รอบๆหน้าเมืองโบราณ ตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมือง สมุทรปราการ เจ้าหน้าที่กรมทางหลวง ได้เดินทางมาทำการปรับปรุงแก้ไขซ่อมแซมฝาท่อดังกล่าว โดยการนำฝาท่อเก่าออก แล้วทำลายทิ้ง และ เปลี่ยนฝาท่อใหม่ลงไป คาดฝาท่อน่าจะแตกอยู่แล้ว พอนักท่องเที่ยวเดินมาเหยียบ ทำให้แตกจนหลุดลงไปในท่อ

ฝาท่อผุหน้าเมืองโบราณ
ทั้งนี้ ด้าน นาย ศุภโชค มีอำพล รองผู้อำนวยการ สำนักงานทางหลวงที่ 13 พูดว่า

จากในกรณีที่มีนักท่องเที่ยวเดินตกท่อ บริเวณหน้าสถานที่ท่องเที่ยว ได้รับบาดเจ็บ ทางสำนักงานทางหลวง กรมทางหลวง ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาปรับปรุงแก้ไข เปลี่ยนแปลง ฝ่าท่อบ่อพักที่เสียหาย พร้อมด้วยดูว่า ฝ่าบ่อพักไหน ที่ใกล้จะเสียหาย เราก็จะเปลี่ยนไปเลย รวมถึง ฟุตบาทที่ไม่เรียบ พวกเราก็ให้เจ้าหน้าที่ ซ่อมโดยทันที

เพราะตรงนี้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยว สาเหตุเนื่องจาก ฝาบ่อพักบางทีก็อาจจะเป็นการใช้งานที่ระยะยาว มันก็เลยอาจมีการสึกหรอไปได้

ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ ทางแขวงทางหลวงสมุทรปราการ พยายามติดต่อนักเดินทางรายนี้ ว่าเข้ารักษาตัวที่ไหน โดยไปติดต่อทางโรงพัก ได้มีการแจ้งเหตุไว้หรือไม่ ยังไง แต่เบื้องต้นทราบว่า ไม่มีการแจ้งความ ก็เลยยังไม่สามารถติดต่อคนที่บาดเจ็บได้

ตนมีความรู้สึกว่า สาเหตุในการเกิดเหตุคราวนี้ คงจะด้วยอายุการใช้งาน ของฝาบ่อพัก ทางกรมทางหลวง ต้องขออภัยด้วย เราอาจจะ ขาดการบำรุงรักษา ที่เหมาะสม เพราะสายทางพวกเรา มีระยะยาวมาก ตรงนี้ ก็จะเป็นประเด็น ที่พวกเราจะนำไปปรับปรุงแก้ไข ต่อไป ถ้าหากผู้ใช้รถ ใช้ถนน พบปัญหาเรื่องถนนหนทาง ไม่ว่าจะเป็นฟุตบาท หรือ ถนนเสียหาย แจ้งกับสายด่วน กรมทางหลวงได้เลย ที่เบอร์ 1586 ตลอด 24 ชั่วโมง

มิเชล โหย่ว : ลุ้นนักแสดงหญิงเอเชียคนแรกที่ชนะรางวัลออสการ์ หลังคว้าลูกโลกทองคำสำเร็จ

มิเชลโหย่วได้ออสการ์ สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักแสดงหญิงเชื้อสายเอเชียคนที่ 2 ที่ชนะรางวัลดาราหญิงยอดเยี่ยม รางวัลลูกโลกทองคำ ทำให้คนเฝ้าดูเหตุการณ์ตั้งความหวังว่า เธออาจกลายเป็นผู้แสดงฝ่ายหญิงเอเชียคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่เอารางวัลผู้แสดงฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมของออสการ์

มิเชล โหย่ว นักแสดงหญิงเชื้อสายมาเลเซีย ชนะรางวัลลูกโลกทองคำ จากหน้าที่ดารานำในรูปภาพยนตร์เรื่อง “ซือเจ๊ทะลุมัลติเวิร์ส” หรือ “Everything Everywhere All At Once” จากเวทีประกาศรางวัลลูกโลกทองคำ ครั้งที่ 80 ในปีนี้ ซึ่งเป็นปีแรกที่ถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ตามเดิมอีกครั้ง

“มันเป็นเส้นทางที่ยอดเยี่ยม รวมทั้งการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม ที่ได้มาอยู่ที่ตรงนี้” มิเชล โหย่ว กล่าว

นักแสดงหญิงมากมายความสามารถวัย 60 ปี สวมบทเป็น เอเวอลีน หวัง ผู้อพยพคนจีนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ แล้วก็เป็นเจ้าของร้านซักรีด

โหย่ว ถือเป็นนักแสดงเชื้อสายเอเชียคนที่ 2 ที่ชนะรางวัลลูกโลกทองคำ โดยคนแรกคือ อควาฟินา ในภาพยนตร์เรื่อง the Farewell ในปี 2020

การคว้ารางวัลของโหย่ว ทำให้ทั่วโลกต่างแสดงความยินดีในโลกออนไลน์ โดยชื่นชมว่า ฝีมือการแสดงของเธอควรค่าแก่รางวัลนี้ และแฟนคลับของเธอหวังว่า การคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ จะปูทางและเพิ่มโอกาสให้เธอคว้ารางวัลนักแสดงยอดเยี่ยม ในการประกาศรางวัลออสการ์

โหย่ว ซึ่งเริ่มอาชีพการแสดงจากฮ่องกง ในช่วงทศวรรษที่ 1980s ได้กล่าวถึงชีวิตในช่วงแรก ๆ ในม่านฮอลลีวูดของเธอ ระหว่างการปราศรัยรับรางวัล

มิเชลโหย่วได้ออสการ์ มิเชล โหย่ว

“ฉันจำได้ว่า ครั้งแรกที่เข้ามาในฮอลลีวูด มันคือฝันที่เป็นจริง เพราะดูใบหน้าฉันสิ ฉันมาถึงแล้วผู้คนก็บอกฉันว่า ‘เธอมันแค่คนชนกลุ่มน้อย’”

โหย่ว ระบุว่า เธอขอมอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้แก่เหล่านักแสดงที่เป็นชนกลุ่มน้อยในแวดวงฮอลลีวูด “และนี่คือรางวัลแด่เหล่านักแสดงที่เคียงบ่าเคียงไหล่ฉันมา รวมถึงเหล่าผู้ที่เข้าวงการมาก่อนฉัน และเหล่าผู้ที่จะเดินหน้าไปตามเส้นทางนี้ต่อไปพร้อมกับฉัน”

โหย่ว เป็นที่รู้จักจากบทบาทการแสดงบทบู๊ในรูปภาพยนตร์แอคชันในฮ่องกง ในระดับเดียว เฉิน หลง เพราะเหตุว่าเธอรับบทสตั๊นท์ด้วยตัวเอง

เธอเริ่มเป็นที่รู้จักในรูปภาพยนตร์ตะวันตก จากบทบาทในภาพยนตร์ เจมส์ บอนด์ หรือ พยัคฆ์ร้าย 007 ในภาค “Tomorrow Never Dies” ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดตัวแรกในภาพยนตร์ฮอลลีวูด ถัดมาก็คือบทบาทในรูปภาพยนตร์ พยัคฆ์ระห่ำ มังกรลำพองโลก ที่ชนะรางวัลออสการ์

ไม่กี่ปีที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ เธอยังประกาศตัวในรูปภาพยนตร์ทุนสร้างใหญ่อย่าง Crazy Rich Asians และก็ ชาง-ชี กับตำนานลับเท็นริงส์ ในจักรวาลมาร์เวล

ถ้าเกิด โหย่ว ครอบครองรางวัลออสการ์ได้สำเร็จ จะนับว่าเป็นผู้แสดงสัญชาติเอเชียคนแรกที่ชนะรางวัลออสการ์ โดยรายนามคู่แข่งขันรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 95 จะประกาศในเดือน เดือนมกราคม ก่อนที่จะจัดงานประกาศรางวัลในเดือน มี.ค. ด้วยเหตุว่าที่แล้วมา คนเอเชียที่ชนะรางวัล จะเป็นสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม แล้วก็นักแสดงส่งเสริมยอดเยี่ยมเท่านั้น ยังไม่เคยมีคนเอเชียที่ชนะรางวัลผู้แสดงฝ่ายชาย หรือหญิงยอดเยี่ยมมาก่อน

คนเชื้อสายเอเชียที่ชนะรางวัลออสการ์มาแล้ว คือ บง จุน-โฮ ด้วยรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม จากผลงานภาพยนตร์ ปรสิต ในปี 2019 ซึ่ง ปรสิต ยังชนะรางวัลใหญ่อื่นๆอีก 3 รางวัลด้วย

ในขณะที่เมื่อปี 2020 โคลอี จ้าว ผู้กำกับเชื้อสายเอเชีย ครอบครองรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ Nomadland ตอนที่ ดาราหนังอาวุโส ยูน ยอจอง ชาวเกาหลีใต้ ได้รางวัลออสการ์ สาขาผู้แสดงส่งเสริมยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์ Minari

มิเชล โหย่ว “ดูใบหน้าฉันสิ” จากลูกโลกทองคำ-ลุ้นรางวัลออสการ์

“มันเป็นเส้นทางที่ยอดเยี่ยม เป็นการต่อสู้ที่สุดยอดที่ได้มาอยู่ตรงนี้” มิเชล โหย่ว นักแสดงหญิงเชื้อสายมาเลเซีย กล่าวขณะขึ้นรับรางวัลลูกโลกทองคำ หรือ Golden Globes Awards ครั้งที่ 80 กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่เบเวอร์ลี ฮิลส์ โฮเทล นครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา

ตัวเก็งนักแสดงนำหญิงชาวเอเชียคนแรก

เวทีนี้ จัดโดยสมาคมสื่อมวลชนต่างประเทศฮอลลีวูด เป็นเวทีใหญ่ของวงการฮอลลีวูดที่เปิดฉากเทศกาลแจกรางวัล ซึ่งจะไปจบที่เวทีออสการ์ หรือ Academy Awards ครั้งที่ 95 วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม 2023 หรือตรงกับเช้าวันจันทร์ที่ 13 ของไทย

มิเชลโหย่วลุ้นออสการ์ everything everywhere at all once

มิเชลโหย่วได้ออสการ์ TIME เลือก “มิเชล โหย่ว” ดีเด่นแห่งปี

ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ไทม์-TIME สื่อแมกกาซีนมีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา ประกาศผลของการเลือกบุคคลเด่นที่ปี 2022 รวมทั้งสาขา ICON OF THE YEAR ดังเช่น มิเชล โหย่ว ในฐานะนักแสดงคนที่ใครๆก็รู้จักจากแวดวงภาพยนตร์เอเชียสู่ผู้แสดงแถวหน้าของวงการฮอลลีวูด

ไทม์กล่าวว่า มิเชลเปิดตัวในแวดวงฮอลลีวูดในทศวรรษที่ 1990 และทราบถึงเส้นทางเร็วที่จะยืนหยัดอยู่ในแวดวงได้ และเป็นวิถีทางที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นหากแม้มีข้อเสนอแนะต่างๆเข้ามาไม่ขาดสาย แม้กระนั้นดาราเชื้อสายมาเลเซียปฏิเสธทุกบทที่จะส่งผล “ลบ” ต่อผู้หญิงเอเชีย

“ฉันดูเพื่อนๆเคต แบลนลานเชตต์ รวมทั้งโอลิเวีย โคลแมน แล้วก็เฮเลน มีร์เรน ฉันรู้สึกอิจฉาที่สหายๆได้โอกาสโชว์ครั้งแล้วครั้งเล่า” มิเชลเปิดใจกับไทม์ แล้วก็ว่าตนเองทุ่มเททุกอย่าง สวมบทเป็นเอเวอลีน หวัง ในรูปภาพยนตร์ Everything Everywhere All At Once

มิเชลเห็นว่า เมื่อได้รับจังหวะเช่นนี้ก็จะต้องทุ่มเทสุดหัวใจแล้วก็วิญญาณ เนื่องจากไม่รู้ว่าจะมีโอกาสหน้าเมื่อใด คิดว่าความกลัวที่สุดคือ จะต้องไม่ปลดปล่อยให้เป็นเพียงช่องทางเดียวเพียงแค่นั้น

สำหรับเวทีออสการ์ ยังไม่เคยมีนักแสดงเอเชียได้รับรางวัลผู้แสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมมาก่อน

“ฉันคิดเรื่องนี้มาตลอด ไม่ใช่เฉพาะกับฉันนะคะ ฉันรู้สึกว่าชุมชนชาวเอเชียต่างคิด พวกเขาเดินมาหาฉันและพูดว่า คุณกำลังทำให้พวกเรานะ” นักแสดงหญิงแกร่งกล่าว

สรุปผลรางวัลลูกโลกทองคำ ครั้งที่ 80

  • ภาพยนตร์ประเภทเพลงหรือตลกยอดเยี่ยม: The Banshees of Inissherin
  • ภาพยนตร์ประเภทดรามายอดเยี่ยม: The Fabelmans
  • กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม: สตีเวน สปีลเบิร์ก (The Fabelmans)
  • บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม: มาร์ติน แมคโดนา (The Banshees of Inissherin)
  • ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม: Argentina, 1985 (Argentina)
  • ภาพยนตร์แอนนิเมชันยอดเยี่ยม: Pinocchio (Guillermo del Toro)
  • นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทดรามา: ออสติน บัตเลอร์ (Elvis)
  • นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประเภทดรามา: เคต แบลนเชตต์ (Tar)
  • นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์เพลงหรือตลก: โคลิน ฟาร์เรล (The Banshees of Inissherin)
  • นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์เพลงหรือตลก: มิเชล โหย่ว (Everything Everywhere All At Once)
  • นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม: คี ฮุย ควน (Everything Everywhere All At Once)
  • นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม: แองเจลา บาสเซตต์ (Black Panther: Wakanda Forever)

พ่อเข่าทรุด ลูกสาววัย 30 รมควันดับคาห้องนอน เคยดูข่าว ไม่คิดจะเกิดกับครอบครัว

สาววัย 30 ปี รมควันดับคาห้องนอน เจอสมุด 1 เล่ม เขียนด้วยลายมือ พ่อกับแม่ช็อก ไม่รู้สาเหตุ

ผู้รายงานข่าวรายงานว่า วันที่ (21 เดือนมกราคม 2566) เมื่อเวลา 20.00 น. ร้อยตำรวจโทหญิง ณัฎฐณิชา เริงชวัญ รองสารวัตรสอบสวน สภ.พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ได้รับแจ้งมีผู้เสียชีวิต ในบ้านพักหลังหนึ่ง ภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง หมู่ 10 ตำบล ในคอมบางปลากด อำเภอ พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ

จุดเกิดเหตุ เป็นทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น ในบ้านชั้นล่าง พบร่าง น.ส.อัยย์รฎา อายุ 30 ปี นอนหงายเสียชีวิต อยู่บนโซฟา ด้านในห้องน้ำ ชั้น 2 พบเตาปิ้งย่าง ว่างอยู่กับพื้น ด้านในมีถ่าน แล้วก็ น้ำ และ ภายในห้องนอน ข้างห้องน้ำ ยังมีกลิ่นควันหลงหลงเหลืออยู่ พบลูกบิดประตู ถูกแงะกระทั่งพัง

สาววัย 30 ปี รมควันดับคาห้องนอน

รวมทั้ง ยังเจอสมุด 1 เล่ม ที่หน้าแรกถูกเขียนด้วยลายมือ ว่า

“ดูแลโมนาดี ๆ นะ / ฝากโทรหาเบอร์ 086-XXXXXXX บอกเขาว่า อัยตายแล้วแค่นั้น / อ่อเงินอยู่ที่โอ๊ตด้วย 40,000 นะ / ถึงพ่อกับแม่ / อยากให้พ่อกับแม่เข้าใจ ในการตัดสินใจในสิ่งที่นุ้ยทำ มันอาจทำให้พ่อกับแม่เสียใจ แต่พอเวลาผ่านไป มันจะดีขึ้น นุ้ยจะอยู่ในความรู้สึกคิดถึงของพ่อกับแม่เสมอ / ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่เป็นคนไม่เอาไหน ไม่มีอะไรให้น่าภูมิใจ ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่พ่อกับแม่หวัง ไม่สามารถดูแลพ่อกับแม่ให้มีความสุขสบายได้ ช่วยให้อภัยนุ้ยด้วยนะ / นุ้ยรู้สึกเหนื่อยกับการใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ รู้สึกกับการตื่นมาอย่างทรมาน ที่รู้ว่าต้องมีชีวิตต่อให้รอดไปในแต่ละวัน นุ้ยรู้สึกว่ามันยากมาก ๆ สำหรับนุ้ยในตอนนี้ นุ้ยรู้สึกข้างในความรู้สึกนุ้ยมันเหลวไปหมด มันทรมานที่ต้องหายใจ นุ้ยพยายามหาความสุขให้กับตัวเอง แต่รู้สึกความสุขที่นุ้ยต้องการจริง ๆ คือการที่นุ้ยหยุดรู้สึกทุกอย่าง แค่ไม่อยากรู้สึกเจ็บปวด ทุกข์ ทรมาน กับทุก ๆ เรื่อง / ของทุกอย่างที่เป็นของนุ้ย ช่วยเผาทำลายมันไปพร้อมกับนุ้ยด้วยนะ ส่วนคอมนุ้ยถ้าจะขาย ราคา 20,000 นะ โทรศัพท์นุ้ยให้เก็บตั้งไว้หน้ารูปภาพนุ้ยนะ ห้ามขายหรือให้ใคร (คอมขายเท่านั้นห้ามให้ใคร) / รักพ่อกับแม่มากนะ ถึงแม้เราจะไม่ค่อยได้คุยกัน นุ้ยรู้แหละว่าพ่อกับแม่ก็รักนุ้ยเหมือนกัน และต้องเสียใจมาก ที่นุ้ยตัดสินใจแบบนี้ แต่เชื่อเถอะ มันคือทางที่นุ้ยจะได้มีความสุขจริง ๆ” เจ้าหน้าที่ จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

จากการซักถาม นางรุ่งอรุณ อายุ 52 ปี แม่ของผู้ตาย เล่าว่า ลูกสาวมิได้มีปัญหาอะไร เพิ่งจะไปต่างจังหวัดแล้วกลับมา ตนเห็นกระดาษ ที่บุตรสาวเขียนไว้เท่านั้น ตนมาเจอว่า ลูกสาวเสียชีวิตแล้ว ประมาณหกโมงเย็น เข้าไปพบ สภาพบุตรสาวนอนตะแคง ข้าง ๆ มีผ้าปิดจมูกอยู่บนที่นอน

บุตรสาวไม่มีปัญหากับคนในครอบครัว หรือ ที่อื่นๆ อีกอย่างบ้านเพิ่งจะซื้อ บุตรสาวเป็นคนเงียบ ๆ มีโลกส่วนตัวสูง บุตรสาวคงจะไปหาแฟน ที่จังหวัดเชียงใหม่ กลับจากเชียงใหม่ ได้ราว 1 อาทิตย์แล้ว บุตรสาวอยู่แต่ในห้องเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรกับใคร ไม่ออกข้างนอก ลูกสาวจะเป็นคนที่ไม่พูด เรื่องส่วนตัว ให้ใครฟังเลย

เมื่อเช้าตนได้ออกไปดูรถมอเตอร์ไซค์ให้ลูกชายคนเล็ก ในเวลาที่ตนกลับมา ก็สงสัยอยู่ เนื่องจาก ลูกสาวได้ลงมารับประทานข้าว ตนมองเห็นส้มปอกไว้ วางอยู่บนโต๊ะกินข้าว ตนออกไปข้างนอก ราว 09.00 น. กลับมาถึงโดยประมาณ 11.00 น. ตนได้เรียกลูกสาวกินข้าว แต่ก็เงียบ ตนก็มิได้สนใจอะไร

พอช่วงเวลาเย็น รู้สึกเงียบผิดปกติ ก็เลยขึ้นไปดู ก็เลยได้กลิ่นควัน ตนคิดว่าใครเผาอะไรหลังบ้าน ไม่คิดว่าบุตรสาวจะทำอย่างนี้ ตนมารู้สึกแปลก ๆ ว่าเพราะเหตุไร เคาะห้องลูกสาวแล้วเงียบ ไม่มีการตอบกลับอะไรเลย จึงเรียกสามีขึ้นมาดู แล้วได้พังประตูห้อง เข้าไป มองเห็นบุตรสาวนอนเสียชีวิตแล้ว

จบชีวิตคาห้องนอน

ด้าน นายอาวุทธิ์ อายุ 54 ปี พ่อของ ผู้เสียชีวิต ที่ รมควันดับคาห้องนอน เล่าว่า

ภรรยาได้ขึ้นมาทำความสะอาด เวลาโดยประมาณ 16.00 น. ได้กลิ่นควันไฟ เหมือนอะไรไหม้ จึงลงไปเรียกตน ซึ่งอยู่ข้างล่าง ตนก็เลยรีบขึ้นมาดู ตนได้เคาะห้อง เรียกบุตรสาว ก็ไม่เปิดประตูให้ ตนคิดแล้วว่าบุตรสาวจะต้องทำอะไรสักอย่าง ตนเคยดูข่าวรมควันเสียชีวิต ไม่เคยคิดเลย ว่าจะมาเกิดขึ้นกับครอบครัว

ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ อยู่กันครบทั้งลูกชาย ลูกสาว รวมทั้ง ภรรยา ตนก็เลยเรียกลูกชายขึ้นมา ช่วยกันพังประตู ตอนแรกลูกชายได้เข้าไปทางห้องน้ำ แล้วเอาเก้าอี้มาต่อ เปิดฝ้าข้างบนออก เพื่อจะปีนดูบุตรสาว ที่อยู่ในห้อง แต่มองไม่เห็น ด้วยเหตุว่าไม่มีช่องลง จึงลงมา แล้วงัดกลอนประตูเข้าไป มองเห็นลูกสาวนอนตะแคง หันหน้าไปทางฝาผนัง ตนเข่าทรุดเลย

บุตรสาวไม่มีปัญหากับใคร เป็นคนเงียบ ๆ โลกส่วนตัวสูง ไม่เคยสุงสิงกับใคร ไม่มีแฟน ไม่มีครอบครัว ลูกสาวพึ่งจะกลับจากจังหวัดเชียงใหม่ แต่ว่าตนไม่ทราบ ว่าบุตรสาวไปทำอะไร แต่ว่าที่เขียนจดหมายไว้ คงจะมีส่วน บุตรสาวลาออกจากงาน ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาเคยกรีดแขนตัวเอง ตนจะคอยเตือนบุตรสาวอยู่เรื่อย ๆ ทำอะไรให้อยู่ในศีลธรรม แต่ตนจะไม่ก้าวก่ายชีวิตลูก ตนรักบุตรสาวคนนี้มาก ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบที่เกิดเหตุ ถ่ายภาพ ลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน และก็ จะเชิญตัวคุณพ่อคุณแม่ แล้วก็ น้องชาย ไปสอบเพิ่มเติม ที่ สภ.พระสมุทรเจดีย์ ส่วนสาเหตุในการก่อเหตุในครั้งนี้ ตำรวจอยู่ระหว่างตรวจสอบ ก่อนที่จะมอบร่างผู้เสียชีวิต ให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิ นำส่งชันสูตร ที่สถาบันนิติเวช เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ศบค.เตือนห้ามขาย "เบบี้คริสตัล" ของเล่นอันตราย มีเด็กเผลอกินจนต้องผ่าตัดลำไส้

ศบค.เตือนห้ามขาย “เบบี้คริสตัล” ของเล่นอันตราย หลังเด็กรับประทานจนกระทั่งลำไส้เล็กขยาย จำต้องผ่าตัด เจอฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

จากกรณี แม่รายหนึ่ง ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก เป็นอุทาหรณ์ เล่าว่าลูกเผลอกลืน “เบบี้คริสตัล” ที่ยังไม่แช่น้ำ ก่อนที่จะเข้าไปพองขยายในร่างกาย อุดตันลำไส้เล็ก ต้องผ่าตัดด่วน แล้วก็เข้ารับการรักษาใน ICU

ถัดมาทางเพจ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้ออกมาโพสต์ เตือนอันตราย จากตัวดูดน้ำ น้ำตานางเงือก หรือเบบี้คริสตัล สามารถขยายตัวได้ในน้ำย่อยเทียม ซึ่งมีภาวะเดียวกับน้ำย่อยในกระเพาะสำไส้มนุษย์ และ สามารถพองตัวได้ถึง 5 เท่า ภายในช่วงเวลาการย่อยตามสภาพในกระเพาะ และ ยังมีลักษณะเหนียวไม่มีการย่อยตัว หากกลืนกินเข้าไป จะส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่อระบบย่อยการขับถ่าย แล้วก็ ทำให้ลำไส้อุดตันได้

ด้วยความอันตรายนี้ คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ก็เลยออกคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ 9/2527 เรื่อง ห้ามขายสินค้าที่เรียกว่า “ของเล่นชนิดพองตัว เมื่อแช่น้ำหรือตัวดูดน้ำ สำหรับบทลงโทษ สำหรับผู้ประกอบการที่กระทำฝ่าฝืนว่า ผู้ใดผลิตเพื่อขาย สั่ง หรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อขาย หรือขายสินค้า มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เด็กเผลอกิน เบบี้คริสตัล

จากกรณีที่ คุณแม่โพสต์เตือนภัยเป็นตัวอย่าง

“เบบี้คริสตัล” ลูกน้อยเผลอรับประทานเข้าไปขยายตัวอุดตันลำไส้ จำเป็นต้องเข้า ICU ผ่าตัดเอาออกด่วน

ถือเป็นอุทาหรณ์ สำหรับแม่ที่มีลูกเล็ก หลังจากเผลอรับประทานเบบี้คริสตัล เข้าไป กระทั่งไปอุดตันลำไส้จะต้องเข้า ICU โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้แชร์ประสบการณ์ดังกล่าว โดยระบุว่า

“อัปเดตอาการน้องนะคะ ตอนนี้น้องยังพักอยู่ที่ICU โดยรวมถือว่าดี เมื่อไหร่ที่อาการคงที่ คุณหมอจะย้ายน้องมาที่ห้องปกติ ขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วงนะคะ ขอสรุปสั้นนะคะ

ก่อนหน้านี้น้องณคุณอาเจียนตลอด ทานอะไรไม่ได้ ซึม คุณหมอCT แสกนเจอลำไส้มีลักษณะอุดตัน คุณหมอเลยให้ผ่าตัดด่วน และวินิจฉัยเพื่อความชัดเจน บทสรุปทั้งหมดคือ “น้องทานเบบี้คริสตัลเข้าไปค่ะ”

ตอนน้องทานเป็นลักษณะที่ยังไม่แช่น้ำ (เม็ดค่อนข้างเล็กมากๆ) มันไปขยายใหญ่ในช่วงลำไส้เล็กพอดี ตอนคุณหมอผ่าออกมา เม็ดมีลักษณะขยายใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาน3ซม. ทำให้ลำไส้น้องตัน ฝากเตือนเป็นอุทาหรณ์ด้วยนะคะ

บ้านไหนมีน้องช่วงวัยกำลังจับของเข้าปากไม่ควรให้คาดสายตาจริงๆ เป็นเรื่องที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ก็เกิดจนได้ … เป็นเพราะความชะล่าใจ เป็นบทเรียนที่เจ็บปวดหัวใจที่สุด ขออย่าให้เกิดขึ้นกับเด็กคนไหนอีกเลยค่ะ บีบหัวใจคนเป็นแม่ แทบขาดใจ”

“เบบี้คริสตัล” คืออะไร?

เบบี้คริสตัลหรือ “น้ำตานางเงือก” เป็นโพลีเมอร์ ซึ่งมันสามารถขยายตัวได้มากกว่า 100 เท่า ถ้าถูกแช่ในน้ำ บางทีก็ใส่สารเรืองแสง ใส่สารให้เกิดลวดลายเข้าไปก็มี ตัวดูดน้ำดังกล่าว มีสารโพลีอะคริลาไมด์ (polyacrylamide) และสารไวนิลอะซีเตด-เอทิลีนโคโพลิเมอร์ (vinylacetate-ethylene copolymer) ซึ่งสารโพลีอะคริลาไมด์ เป็นโพลิเมอร์ที่มีคุณสมบัติดูดซับน้ำไว้ ในโมเลกุลได้จำนวนมาก โดยโพลิเมอร์มีความสามารถดูดซับน้ำได้ถึง 800 เท่า

อันตรายของ “เบบี้คริสตัล”

เกิดขึ้นจากการที่เด็ก ๆ จะชอบเล่น และแอบนำมาเลี้ยง ซึ่งนิยมนำมาเลี้ยงไว้ที่บ้าน แข่งกันเวลาออกลูกมา และจะอันตรายมาก หากมีการเผลอกินเข้าไป เพราะมันจะซึมซับเอาน้ำจากร่างกาย เช่นน้ำย่อยในกระเพาะและพองตัว หากเข้าไปในลำไส้ ก็จะทำให้อุดตัน และดึงน้ำออกจากโพรงลำไส้ ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ และติดเชื้อ ข้อสำคัญเมื่อพองตัวถึงระดับหนึ่ง ก็จะแตกตัวออกมา และเมื่อตัวใหม่ดูดน้ำเข้าไปอีก ก็จะโตขึ้นเรื่อย ๆ จนแตกตัวใหม่ ออกไปอีกเรื่อยเช่นนี้ และหากเด็กกินเข้าไป ก็จะจุกเสียดแน่นท้อง และอาจจะเสียชีวิตได้ หากไปค้างในหลอดอาหารส่วนต้น หรือสำลักเข้าหลอดลม ก็จะทำให้เกิดการอุดกลั้น และหายใจล้มเหลวเฉียบพลันหากไม่สามารถเอาออกมาได้

จากการวิจัยในสภาวะจริงโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจวิเคราะห์แล้วพบว่า สามารถพองตัวในร่างกายมนุษย์ได้ถึง 5 เท่า มีลักษณะเหนียว ไม่แยกหรือแตกร่วน

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) จึงสั่ง “ห้ามจำหน่ายของเล่นตัวดูดน้ำนี้เด็ดขาดมาตั้งแต่ปี 2527 เนื่องจากเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค” โดยเฉพาะเด็กเล็ก และเป็นสินค้าที่ไม่มีความจำเป็นแก่เด็ก หากเด็กเผลอกลืนตัวดูดน้ำนี้เข้าไป จะทำให้เกิดการอุดตันในกระเพาะอาหาร มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก และอาจเกิดการติดเชื้อได้ การนำตัวดูดน้ำออกจากกระเพาะอาหารได้ต้องใช้วิธีผ่าตัดเท่านั้นหากไม่สามารถขับถ่ายออกมาได้เอง

ศบค เตือนห้ามขาย

การจำหน่าย “เบบี้คริสตัล” ผิดกฏหมาย

ในปัจจุบันการจำหน่ายตัวดูดน้ำ ถือเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท ส่วนผู้ประกอบธุรกิจเพื่อขายหรือนำเข้ามาในราชอาณาจักร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท

นอกจากนั้น ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์โด่งดัง เจ้าของของแฟนเพจ “หมอแล็บแพนด้า” ได้ให้ข้อมูลต่อ เกี่ยวกับในกรณีที่เด็กรับประทานเบบี้คริสตัล เข้าไป โดยระบุว่า อันตรายอย่างยิ่งนะครับ เด็กกินเบบี้คริสตัลเข้าไป ปรากฏว่ามันไปพองอุดตันลำไส้จะต้องเข้า ICU ผ่าตัดออกมา

– ถ้าหากเด็กเผลอกินเข้าไป มันก็จะไปดูดน้ำภายในร่างกายแล้วขยายตัวอุดตันตามทางเดินอาหาร ถ้าเกิดร่างกายของเด็กไม่อาจจะถ่ายมันออกมาได้ ก็จำต้องผ่าตัดเอาออกมา

– ถ้าหากเด็กเผลอเอาไปยัดเข้าจมูก เข้าปากแล้วมันหลุดเข้าหลอดลม มันก็จะเข้าไปอุดกั้นระบบทางเดินหายใจ มีโอกาสที่จะขาดอากาศจนกระทั่งเสียชีวิต

บ้านไหนมีของเด็กเล่นอย่างนี้ อย่าลืมดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด

ข้อมูลจาก : แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์,หมอแล็บแพนด้า, Kat Kattaleeya

วินาทีเดือด ‘ดีเจมะตูม’ จับมิจฉาชีพ อ้างชื่อหลอกคนลงทุนหลายสิบล้าน

รวมพลจับโจร ‘ดีเจมะตูม’ จัดฉาก นัด วาวา มิจฉาชีพมาพบที่ร้าน ก่อนให้ตำรวจรวบ พร้อมซักถามชุดใหญ่ ปมหลอกลวงคนอื่นมาลงทุน โดยอ้างว่าสนิทกัน ทำนักลงทุนที่เกี่ยวข้อง เสียหายร่วมสิบล้าน เผยวีรกรรมสุดแสบ มีคดีติดตัวมากมาย ถึงขนาดต้องใส่กำไลอีเอ็ม

เมื่อตอนเที่ยงของวันที่ 16 มกราคม 2566 ได้มีการรายงานข่าว ผ่านรายการ เที่ยงวันทันเหตุการณ์ เปิดเผยเรื่องราวสุดช็อค ของมิจฉาชีพสาวชื่อ วาวา อ้างสนิทกับ ดีเจมะตูม เตชินท์ พลอยเพชร แถมทำงานด้านธุรกิจดัง ถอนเงินครั้งละ 600 ล้านบาท ก่อนหลอกผู้อื่นให้ลงทุนซื้อทอง และก็นาฬิกาหรู

เรื่องราวของ วาวา มิจฉาชีพสาว ที่หลอกผู้อื่นให้ลงทุน โดยอ้างชื่อดีเจมะตูม ได้ถูกตำรวจรวบตัวได้ เพราะเหตุว่าหนึ่งในผู้เสียหายรายใหญ่อย่าง ‘ก้ง’ ได้ติดต่อเข้าพบ กับดีเจมะตูม เนื่องจากสงสัยว่าตนเองโดนหลอกเงินไปกว่า 7.4 ล้านบาท

เตชินท์ พลอยเพชร

ก้งได้เดินทางไปเจอมะตูมแล้วเล่าให้ดีเจมะตูมฟังว่า

ตนรู้จักกับผู้หญิง ที่ชื่อวาวา จากร้านแห่งหนึ่ง ย่านทองหล่อ โดยได้พูดคุยกันหลายเรื่อง จนวาวาอ้างตัวว่า สนิทกับดีเจมะตูมมาได้ 4- 5 ปีแล้ว แถมตนยังเป็นคนช่วยช่วงมะตูมล้ม พร้อมเปิดภาพหลักฐาน ที่ถ่ายคู่กันให้ดู ก่อนจะแยกย้ายกันไป

แต่ว่าต่อจากนั้นไม่นาน วาวาก็ได้ติดต่อเข้าไปหาก้ง เพื่อขอซื้อสินค้า ที่ก้งขายอยู่ทางออนไลน์จำนวน 2 หมื่นกล่อง อ้างว่าจะนำไปให้พนักงาน หารายได้เสริม จนมีการนัดเจอกัน ซึ่งวาวาเสนอให้ทั้งคู่เจอกันที่ธนาคารแห่งหนึ่ง เพราะต้องการถอนเงิน 600 ล้านบาท โดยมีการแสดงให้เห็นถึงทรัพย์สิน ป้ายวีไอพี และความหรูหรา

ทั้งนี้ วาวายังอ้างอีกว่า ตัวเองมีธุรกิจหลายอย่าง อาทิเช่น อาร์เคกรุ๊ป ไทยแลนด์จำกัด และก็ เดอะวันชิปปิ้งจำกัด บริษัทส่งออกสินค้า ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ แถมยังเป็นดีลเลอร์คอลลาเจนรายใหญ่ และมีธุรกิจซื้อขายทองคำด้วย

สำหรับกลยุทธ์ ในการหลอกให้ลงทุน วาวาได้บอกกับก้งว่า ตนลงทุนในทองคำ โดยสามารถเจรจา ซื้อทองได้ที่บาทละ 25,000 บาท ซึ่งถูกกว่าราคาตลาดมาก แต่ว่าจะต้องซื้อครั้งละ 1,000 กิโลกรัม ทำให้ต้องมี ผู้ร่วมลงทุนหลายคน หนึ่งในนั้นคือ ดีเจมะตูม ที่ร่วมลงทุนด้วย

ทำให้คุณก้ง ที่เป็นผู้เสียหายหลงเชื่อ ตัดสินใจลงทุนร่วมหุ้นซื้อทองคำไปน้ำหนัก 250 บาท คิดเป็นจำนวนเงินราว 6.25 ล้านบาท แต่เมื่อจ่ายเงินแล้วยังไม่ได้รับทอง ด้วยเหตุว่าวาวาอ้างว่า ยังอยู่ในระบบออนไลน์ ก่อนที่จะขอให้ก้งซื้อนาฬิกาหรูอีกจาก 2 แบรนด์ดัง (ทราบภายหลังว่าปลอม) และก็แผ่นป้ายประมูลรถยนต์

สำหรับการมอบเงิน วาวาจะนัดก้งไปเจอที่สถานที่ราชการทุกครั้ง ทำให้มีทั้งตำรวจและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

ต่อจากนั้นก้งได้เกิดความสงสัยขึ้น จึงติดต่อกับทีมข่าวและก็ดีเจมะตูม ทำให้ได้ทราบว่า ดีเจมะตูมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยดีเจมะตูมเล่าว่า วาวาเคยมาเที่ยว ที่ร้านของมะตูม และถ่ายภาพคู่ไปด้วย ก่อนจะติดต่อมะตูม เพื่ออ้างจะให้ไปเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้า

แถมยังเคยมีท่าที จะลงทุนธุรกิจใหญ่ โดยอ้างกับดีเจมะตูมว่า ต้องการซื้อที่ดินเลียบทางด่วนรามอินทรา 90 ล้าน โดยให้เลขาเป็นตัวกลาง ก่อนจะเปิดเงินโชว์จำนวนกว่า 600 ล้านบาท แล้วแสร้งโอนเงิน 1 ล้าน ให้เลขามะตูมไปจัดการจองเรื่องที่ ทว่าไม่นานก็ขอคืนเนื่องจากว่าเปลี่ยนใจอยากซื้อที่อื่นแทน

ด้านมะตูมเมื่อเห็นท่าที ของหญิงสาวที่ชื่อวาวา ก็รู้สึกแปลกใจ จึงได้ตัดสินใจค้นหาข้อมูล พบว่าเคยมีประวัติฉ้อโกง และมีคดีติดตัวหลายอย่าง จึงได้ตัดสินใจตีตัวออกห่าง แต่ไม่คิดว่าจะโดนนำชื่อไปแอบอ้าง เพื่อหลอกลวงผู้อื่น

ส่วนในเรื่องการจัดฉากรวบตัวมิจฉาชีพ ได้มีการร่วมมือกันระหว่างก้ง ดีเจมะตูม และเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยดีเจมะตูมได้ทำทีติดต่อไปหาวาวา เพราะอ้างว่าจะลงทุน ทำให้วาวาเดินทางมาที่ร้าน ก่อนจะให้ตำรวจเข้ารวบตัว โดยมีก้งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย

ในระหว่างการรวบตัว ได้มีการบันทึกภาพและก็เสียงสนทนาระหว่างดีเจมะตูมแล้วก็วาวาไว้ โดยมะตูมพยายามถามวาวา ว่า พูดแอบอ้างจริงหรือไม่ แล้วก็ได้เอาโทรศัพท์ของวาวาไป ซึ่งมีก้งคอยชี้หน้าด่าอยู่ไม่ไกล

dj matoom

นอกจากนี้ ดีเจมะตูม ยังได้มีการถลกขากางเกงของวาวา ก่อนพบว่าสาวมิจฉาชีพยังคงใส่กำไลอีเอ็ม

ซึ่งเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวของผู้ที่ได้รับการพักโทษชั่วคราว ทำให้รู้ว่า วาวายังคงมีคดีที่ติดตัวอยู่ด้วยเหมือนกัน

หลังจากที่มีการรวบรวมมิจฉาชีพวาวาได้แล้ว ดีเจมะตูม ก็ได้ออกมาอัปเดตผ่านไอจีว่า

“สำหรับกรณีคลิปใน tiktok ที่มีการเผยแพร่อย่างแพร่หลาย ในการจับกุมมิจฉาชีพในร้าน นัวร์เนีย bar อารีย์ (ร้านของมะตูมเอง) ก่อนอื่นมะตูมต้องขอกราบขออภัยในการใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ และการทะเลาะวิวาทที่เกิดขึ้น ทางมะตูมยินดีให้ปากคำกับทางเจ้าหน้าที่ พร้อมให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ขอยืนยันตรงนี้ก่อนครับว่า มะตูมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ มิจฉาชีพ(ผู้หญิงในคลิป) มะตูมเพียงแค่ถูกมิจฉาชีพเท่านนี้แอบอ้างชื่อ เพื่อไปหลอกเงินคนอื่นมาลงทุน และถ้ามีผู้เสียหายจากการเอาชื่อมะตูมไปแอบอ้างในการทำธุรกิจเพิ่มเติม รบกวนติดต่อมะตูมด่วนเลยนะครับ

สำหรับพี่ๆ นักข่าวที่โทรมาสอบถาม มะตูมขอปรึกษาทนายและฝ่ายกฎหมายก่อนที่จะออกมาตอบสื่อเพื่อไม่ให้เสียรูปคดีครับ ขออภัยในความไม่สะดวกจริงๆ ครับ

สุดท้าย ความจริงคือความจริง มะตูมขอยืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวเอง และจะยืนเคียงข้างผู้เสียหายเพื่อตามเงินคืนให้ได้มากที่สุดครับ ดีเจ มะตูม”

แฟนคลับสุดคิดถึง เปิดภาพปัจจุบัน ‘จิ๊บ คีตภัทร’ นางเอกดัง ที่สวยเด่นไม่เปลี่ยนแปลง

จัดเป็นอีกหนึ่งดาราหนังสาวสวยที่หลายท่านหลงเสน่ห์เธอหนักมาก สำหรับสาว จิ๊บ คีตภัทร อันติมานนท์ ที่ฝากผลงานสุดปังเอาไว้อย่างมาก อาทิเช่น กามเทพลวง, กว่าจะรู้เดียงสา, หมอผีไซเบอร์, เบญจา คีตา ความรัก ฯลฯ ถึงแม้ในขณะนี้เธอจะไม่ค่อยส่งผลงานแสดงออกทางหน้าจอให้ได้ดูกันเท่าไหร่ แต่บอกเลย แฟนคลับรักเธอ และคิดถึงหนักมาก

งานนี้พวกเราเลยไม่พลาด เชิญทำความรู้จักสาว จิ๊บ เบาๆและพาไปชมรูปสวยๆของสาวจิ๊บกัน ที่บอกเลยว่า เธอสวย หุ่นดี และโดดเด่นไม่เปลี่ยนแปลงเลย โดยสาวจิ๊บเกิด|วันที่ 21 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2527 เป็นผู้แสดงชาวไทยในสังกัดดาราวิดีโอ และสถานีส่งสัญญาณโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 จิ๊บ เป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ เป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัว อันติมานนท์ เป็นนักแสดงสาวชาวไทย ซึ่งเป็นน้องสาวของนักแสดงชายเป็น จิม เจจินตัย แวนดิว

จิ๊บ มีผลงานเรื่องแรก ดังเช่นว่า กว่าจะรู้เดียงสา แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ เป็นที่รู้จักในบทบาท แว่นทิพย์ ซึ่งเป็นนางเอกใน ละครหลังข่าว เรื่องแรกเมื่อในปี 2543 และละครเรื่อง เจ้าสัวน้อย และผลงานที่แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ อีกเรื่องหนึ่ง ละครเรื่อง ลูกหลง ทำให้ คีตภัทร เป็นผู้แสดงที่รู้จักกัน และมีชื่อในยุคนั้น ต่อมา คีตภัทร รับงานละครหลายๆเรื่อง และเป็นการสลับบทเป็นนางร้าย และเป็นดาราที่มีคุณภาพ และมีความสามารถ ด้านการแสดงอีกคับคั่งนั่นเอง

โดยหลังจาก จิ๊บ เบาๆงานในวงการบันเทิงไป จากทางจอ ก็ทำเอาแฟนๆนึกถึงหนักมาก พากันมาส่องไอจีของเธอ และบอกรัก บอกคิดถึง รวมทั้งส่องชีวิตสุดปังของเธอ กันอย่างมาก

แฟนคลับสุดคิดถึง จิ๊บ คีตภัทร

​​ทำความรู้จัก สวยเก่งครบสูตร จิ๊บ คีตภัทร อดีตนางเอกดังสมัย 90

เป็นอีกหนึ่งดาราสาวสวย ที่ห่างหายจากวงการบันเทิงไปนานมากๆสำหรับ จิ๊บ คีตภัทรน้องสาวของศิลปินชายหนุ่ม จิม เจจินตัย อันติมานนท์ โดยทั้ง จิ๊บ และ เจจินตัย เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงมากมายในสมัย 90 ถ้าคนไหนเคยดูละครดังช่อง 7 อย่างเรื่อง เบญจา คีตา ความรัก หรือ กว่าจะรู้เดียงสา มั่นใจว่าจะต้องคุ้นตา จิ๊บ คีตภัทรวันนี้ เราจะพามาทำความรู้จักจิ๊บ คีตภัทร กันอีกรอบ เผื่อคนไหนที่ยังไม่ทราบ หรือ จำสาวคนนี้มิได้

คีตภัทร อันติมานนท์ ชื่อเล่น จิ๊บ

เกิดเมื่อวันที่ 21 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2527

เป็นดาราชาวในสังกัดนักแสดงวิดีโอ และสถานีส่งสัญญาณโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7

จิ๊บ คีตภัทรเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ

เป็นบุตรสาวคนเล็กของครอบครัวอันติมานนท์

จิ๊บ เป็นผู้แสดงสาวชาวไทยซึ่งเป็นน้องสาวของ ดาราชายเป็น จิม เจจินตัย อันติมานนท์

สำหรับเรื่องของการเข้าวงการบันเทิงของจิ๊บ คีตภัทร นั้น คุณเริ่มเข้าสู่วงการสายบันเทิงไทย เป็นดาราหนังในสังกัดศิลปินวิดีโอ และสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7

และส่งผลงานเรื่องแรกอย่างเช่น กว่าจะรู้เดียงสา แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ เป็นที่รู้จักในหน้าที่ แว่นทิพย์ ซึ่งเป็นนางเอกในละครหลังข่าวเรื่องแรกเมื่อในปี 2543 และละครเรื่อง เจ้าสัวน้อย และผลงานที่แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ อีกหนึ่งเรื่องละครเรื่อง ลูกหลง ซึ่ง จิ๊บ ส่งผลงานอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เธอเป็นดาราหนังที่รู้จักกัน และมีชื่อในสมัยนั้น และอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้เธอเป็นที่รู้จักคือเรื่อง เบญจา คีตา ความรัก ซึ่ง จิ๊บ รับงานละครหลายๆเรื่องและเป็นการสลับบทเป็นนางร้ายและเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพ และมีความสามารถด้านการแสดงอย่างมาก

พักหลังๆเธอได้เฟดตัวออกมาจากวงการบันเทิง และยังดำเนินการมีธุรกิจส่วนตัว รวมถึงเธอยังมีธุรกิจส่วนตัวพร้อมกันไปด้วย และยิ่งไปกว่านี้ จิ๊บ ยังเป็นพาร์ทเนอร์ ร้านอาหารไทย ที่ชื่อ Noi Thai Cuisine Greenlake ที่ Seattle อเมริกา อีกด้วย ต้องกล่าวว่า สาวคนนี้ ทั้งสวย มากความสามารถ ครบสูตรจริงๆ

ที่สวยเด่นไม่เปลี่ยนแปลง

“จิ๊บคีตภัทร” จ่อฟ้อง! สับเละคนปล่อยข่าว นางเอก จ. กระทบครอบครัว-แฟน

หลังจากที่ผู้ใช้ ติ๊กต๊อก รายหนึ่ง ได้ออกมาเผยข้อความว่า “มีข่าวหลุด!! อดีตนางเอกดังช่องหลายสี แอบไปซื้อหนุ่มนอกวงการกิน แล้วโดนหนุ่มอัดคลิปแบล็กเมล์ เรียกเงิน 4 แสน ล่าสุดมีคลิปหลุดออกมา เร็วๆ นี้เจ้าตัวเตรียมแถลงข่าวแน่นอน”

ต่อมา ก็ได้โพสต์อีกว่า “โดนแล้ว! อดีตนางเอกดังช่องหลายสี ชื่อย่อ จ. เข้าแจ้งความเอาผิดหนุ่มนอกวงการ หลังขายคลิปตนเองที่กำลังมีอะไรกัน ให้กลุ่มลับกลุ่มหนึ่ง ในราคา 4 แสนบาท ซึ่งความยาวคลิปเต็ม 21 นาที เห็นหน้าตัวเองชัดเจน เลยทำให้เกิดความเสียหาย เจ้าตัวลั่นไม่ยอมความ พร้อมเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”

กระทั่งทำให้ชาวเน็ตแอบเดากันไป ต่างๆนานา ว่าอดีตนางเอกจ. ช่องหลากสีคือใคร ซึ่งหนึ่งในนั้นแอบมีคนผุดชื่อขึ้นมา ว่าใช่ “จิ๊บ คีตภัทร อันติมานนท์” นักแสดงสาวสมัย 90 หรือเปล่า ทำให้วันนี้ (13 เดือนมกราคม) เจ้าตัวต้องรีบออกมาแจกแจงผ่านไอจี ว่าตนเองไม่ใช่คนภายในข่าวอย่างแน่นอน พร้อมจะฟ้องร้องคดีตามกฎหมาย กับคนที่ทำให้ตนและครอบครัวได้รับความเสียหาย

“ขออนุญาตชี้แจงข่าวที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้นะคะ ว่าไม่ใช่จิ๊บแน่นอนค่ะ จากข่าวที่มีการใช้ชื่อหรือเจตนาใช้ภาพจิ๊บซึ่งทำให้ เกิดความเข้าใจผิดและเสียหายต่อตัวจิ๊บ ครอบครัว และแฟนเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่เป็นความจริง ไม่ได้เกิดเรื่องและไม่ได้มีการไปแจ้งความดำเนินคดีใดๆ อย่างในข่าว จิ๊บมาหาครอบครัวที่อเมริกาเป็นเวลา 3 เดือนแล้วค่ะ อยากขอให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการเสพข่าวส่วนผู้ที่ทำให้จิ๊บและครอบครัวได้รับความเสียหาย จะขอดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อรักษาสิทธิและ ความถูกต้องให้ถึงที่สุด ขอบคุณทุกๆกำลังใจที่ส่งเข้ามานะคะ”

อดีตรองนายก แจ้งความเท็จ ทนายตั้มพบตร. ท้าชนคดีฉ้อโกง แฉเพิ่งหย่าเมีย

“ทนายตั้ม” ควงนาย ก.ลูกความ สามี ที่ยื่นฟ้องหย่าเมียแล้วก็ฟ้องอดีตรองนายกฯ ย.คบชู้ ขึ้นโรงพักบางยี่ขันแจ้งความดำเนินคดี อดีตรองนายก แจ้งความเท็จ หลังจากถูกดำเนินคดีร่วมกับภรรยาและพ่อแม่ฝ่ายหญิงข้อหาร่วมกันฉ้อโกง โวยให้การเรื่องทรัพย์สินที่ให้ฝ่ายหญิงเกินจริง อาทิเช่น คอนโดมิเนียมที่ซื้อมาตั้งแต่ปี 62 ก่อนคบชู้ปี 64 แถมเปิดโปงว่าอดีตรองนายกฯพึ่งพาเมียจดทะเบียนไปหย่า อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ตอนวันที่ 9 ม.ค. ก่อนเรื่องจะแดงขึ้นมา

ด้านอัยการแถลง ทนายตั้มร้องขอความเป็นธรรมคดี นาย ก.โดนคดีร่วมกันฉ้อโกง สั่งประเด็นให้ตำรวจสอบสวนเพิ่มเติม ถ้าหากฟ้องไม่ทันครบฝากขังวันที่ 15 ม.ค. ผู้ต้องหาจะพ้นการควบคุมของศาล แต่ว่าหลังจากสำนวนเสร็จสิ้นขออนุญาต อสส.ฟ้องได้

กรณี “ทนายตั้ม” นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ออกมาเปิดประเด็นสร้างความฮือฮาในสังคม รับมอบอำนาจจากสามีชื่อย่อ ก. เป็นโจทย์ฟ้องแพ่งเรียกค่าตอบแทนจากอดีตรองนายกรัฐมนตรีชื่อย่อ ย. แล้วก็ฟ้องหย่าภรรยาของตัวเองต่อศาลเยาวชนแล้วก็ครอบครัวกลางตั้งแต่เดือน ธ.ค.65 กรณีคบชู้กัน

อ้างว่ามีหลักฐานทั้งข้อความพูดคุยและภาพถ่ายวาบหวิวระหว่างอยู่ด้วยกันเป็นหลักฐาน ต่อมาอดีตรองนายกฯ ย. เข้าแจ้งความร้องทุกข์พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจบางยี่ขัน ดำเนินคดี น.ส.ธ. ภรรยา นาย ก.สามี และพ่อแม่ฝ่ายหญิง ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ตำรวจมีความเห็นสั่งฟ้องส่งสำนวน ให้พนักงานอัยการตลิ่งชัน 2 อยู่ระหว่างพิจารณาสั่งคดี

ความคืบหน้าจาก สถานีตำรวจบางยี่ขัน เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 ม.ค. นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน พร้อมด้วยนาย ก. (นามสมมติ) อายุ 35 ปี สามีของหญิงสาวอายุ 25 ปี ที่ตกเป็นข่าวฉาวคบชู้กับอดีตรองนายกรัฐมนตรีชื่อย่อ ย. เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ ร้อยตำรวจโทน่านนที บูรณะ รอง สว. (สอบสวน) สถานีตำรวจบางยี่ขัน ดำเนินคดีกับอดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. ข้อหาแจ้งความเท็จ กรณีอ้างว่า สูญเงินค่าสินสอดสู่ขอฝ่ายหญิงเป็นจำนวนเกือบจะ 20 ล้านบาท

ทนายตั้ม

นายษิทรากล่าวว่า วันนี้ตนพานาย ก. มาแจ้งความดำเนินคดีกับ อดีตรองนายก รัฐมนตรีเรื่องแจ้งความเท็จ

เนื่องจากให้การเท็จต่อพนักงานที่ทำหน้าที่สอบสวนเรื่องการสู่ขอฝ่ายหญิงหรือมีการหมั้น แต่ว่าไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง เชื่อว่าเป็นการแต่งเติมข้อเท็จจริงเพื่อให้เข้าข้อกฎหมาย เพื่อตัวเองเรียกทรัพย์สินคืนจากฝ่ายหญิงได้

อดีตรองนายกฯมีภรรยาที่จดทะเบียนอยู่ด้วยกันมาเป็น 10 ปีมาตลอด นอกจากนั้น กรณีให้เงินไปซื้อคอนโดมิเนียมก็ไม่ใช่เรื่องจริง ตนมีหลักฐานกรรมสิทธิ์รวมถึงทรัพย์สินต่างๆ ที่บอกว่าให้ฝ่ายหญิงก็ไม่ใช่ความจริง หลักฐานกรรมสิทธิ์การซื้อคอนโดฯ ตั้งแต่ปี 2562 แต่ว่าอดีตรองนายกฯเพิ่งจะมารู้จักฝ่ายหญิงเมื่อปี 2565 ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินส่วนนี้แน่นอน พร้อมแสดงหลักฐานหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดย่านวงเวียนใหญ่ ขนาด 35 ตารางเมตร จดจำนองตั้งแต่ปี 2562 ก่อนที่ทั้งสองคนจะรู้จักแล้วก็คบชู้กัน

“ส่วนเงินที่อ้างว่าให้ฝ่ายหญิงก็ไม่มีหลักฐานการเบิกถอน เชื่อว่าอาจมีการให้จริงแต่ไม่ถึงหลัก 10 ล้านบาท แต่ให้บ้างเพราะคบกับชู้รัก เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่ตนออกมาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่าจะแถลงในวันที่ 9 ม.ค. ปรากฏว่าอดีตรองนายกฯใช้เล่ห์กลด้วยการพาภรรยาไปหย่าร้างที่ อ.สามพราน จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 9 ม.ค. เพื่อใช้ในทางกฎหมายที่จะขอคืนทรัพย์สินที่ไปหมั้นกับฝ่ายหญิง และแจ้งความหรือเรียกทรัพย์สินต่างๆ คืนได้” ทนายตั้มกล่าว

นายษิทรากล่าวอีกว่า ส่วนข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ของอดีตรองนายกฯ ถ้าเกิดค้นข้อมูลส่วนตัวทางโซเชียลจะไม่พบเนื่องมาจากเป็นวีไอพี แต่เพราะว่ามีผู้หวังดีเห็นว่า เรื่องนี้ไม่ได้รับความเป็นธรรม แจ้งตนว่าอดีตรองนายกฯ ไปจดทะเบียนหย่าร้างกับภรรยา ตนนำหลักฐานตรงนี้มาแจ้งความกับพนักงานที่ทำหน้าที่ในการสอบสวนด้วย

ถ้าเกิดออกมารับผิดชอบอย่างลูกผู้ชายว่า ตนเอง ทำผิดพลาดก็จบ ไม่ใช่โยนความผิดให้คนอื่นโดนข้อหาร่วมกันฉ้อโกงเป็นขบวนการด้วย เรื่องที่ตำรวจมีความเห็นสั่งฟ้องข้อหาร่วมกันฉ้อโกง เป็นเพียงแค่ความเห็นเบื้องต้น ตนทำเรื่องขอความเป็นธรรมไปที่พนักงานอัยการแล้ว ไม่ใช่ว่าพอโดนคดีแล้วครอบครัวนี้จะมีความผิด

“ยืนยันว่าไม่มีพิธีสู่ขอ และขอท้าว่าถ้าหากมีจริงมีญาติผู้ใหญ่หรือมีใครรับรู้บ้าง ส่วนกรณีการตบทรัพย์ยังไม่มีการต่อรองใดๆ หากมีจริงคงมีหลักฐานมายืนยัน ส่วนทรัพย์สินที่บอกว่ามากถึง 19 ล้านบาทนั้น เชื่อว่ามีการให้จริงแต่มูลค่าไม่ถึงขนาดนั้น ส่วนก่อนหน้านี้ที่สามีของฝ่ายหญิงมาปรึกษาตน เนื่องจากสามีต้องการขอหย่าแต่ฝ่ายหญิงไม่ยอมหย่าให้ สามีเลยบอกว่า หากไม่ยอมหย่าจะฟ้องหย่าและฟ้องชู้คืออดีตรองนายกฯด้วย ทำให้ฝ่ายหญิงไปบอกกับอดีตรองนายกฯ จึงมาแจ้งความกลับทางครอบครัวฝ่ายหญิง” ทนายตั้มกล่าว หลังจากนั้นเดินทางออกจาก สน.บางยี่ขัน ในทันที

ต่อมาเวลา 11.00 น. นาย ก.ให้การพนักงานที่ทำหน้าที่สอบสวน สถานีตำรวจบางยี่ขันแล้วเสร็จ เดินออกมาจากห้องสอบสวนและก็เดินทางกลับไป โดยไม่ขอให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนแต่อย่างใด

ภาพอดีตรองนายก

จากกรณีที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ออกมากล่าวว่า อดีตรองนายกฯ “ย.” ไปจดทะเบียนหย่ากับภรรยา เมื่อวันที่ 9 มกราคม66

เพื่อหวังต่อสู้คดีและเรียกร้องทรัพย์สินคืนนั้น ปรากฏว่าในช่วงสายวันที่ 12 มกราคม ได้มีประกาศเป็นหนังสือเวียนภายในหน่วยงานของอดีตภรรยาของอดีตรองนายกฯ “ย.” แจ้งถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยบอกว่า ได้เปลี่ยนจากนามสกุลของสามี กลับไปใช้นามสกุลเดิมก่อนสมรสแล้ว จึงแจ้งให้ทุกแผนกรับทราบ ถ้าหากมีเอกสารราชการใด ขอให้ใช้นามสกุลเดิมก่อนสมรสด้วย มีผลตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม66 เป็นต้นไป

ที่สำนักงานอัยการคดีอาญาตลิ่งชัน วันเดียวกัน นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เผยว่า ได้รับทราบจากนายจิระประวัติ แบบประเสริฐ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาตลิ่งชัน ว่า เมื่อเย็นวันที่ 10 ตุลาคม พนักงานที่มีหน้าที่สอบสวน สถานีตำรวจบางยี่ขัน นำสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง น.ส.ธ. นาย ก.สามี นาง ข. และนาย พ. มารดาและบิดาของ นางสาวธ. เป็นผู้ต้องหาที่ 1-4 ตามลำดับ ความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ประกอบมาตรา 83

“การนำสำนวนดังกล่าวมายื่นตรงกับวันครบกำหนดผัดฟ้องครั้งที่ 5 คดีนี้อัตราโทษไม่เกิน 3 ปี ถือเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลเเขวง สามารถผัดฟ้องได้ 6 ผัด 30 วัน เท่ากับว่าเหลือเวลาพิจารณาคดีช่วงผัดสุดท้ายถึงวันที่ 15 ม.ค. ก่อนหมดเวลาคุมตัวตามกฎหมาย คดีนี้ฝ่ายผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรมเข้ามา พนักงานอัยการเจ้าของสำนวนจึงสั่งให้ตำรวจสอบสวนเพิ่มเติม ก่อนพิจารณามีคำสั่งทางคดีต่อไป ถ้าผลการสอบสวนที่พนักงานอัยการสั่งสอบเพิ่มส่งมาไม่ทันอัยการพิจารณาสั่งคดีวันที่ 15 ม.ค. ตามกฎหมาย ตัวผู้ต้องหาต้องพ้นการคุมตัวของศาล คดีต้องขออนุญาตอัยการสูงสุดฟ้อง หากมีคำสั่งฟ้องตำรวจต้องนำผู้ต้องหามาให้อัยการยื่นฟ้องต่อศาลอีกครั้ง” รองโฆษก อสส.กล่าว