ไบเดนย้ำ จะไม่เกิด สงครามเย็น ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

สงครามเย็น ไบเดนย้ำ

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ย้ำในการแถลงข่าวหลังสนทนากับนายสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ว่า จะไม่มี สงครามเย็น เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งถามนายไบเดนว่าจะสามารถหลบหลีก สงครามเย็น ครั้งใหม่ได้ไหม โดยเฉพาะจากความตึงเครียดเรื่องไต้หวัน โดยผู้นำสหรัฐฯ ตอบว่า “ผมเชื่ออย่างที่สุดว่าจะไม่มีสงครามเย็นครั้งใหม่… ผมไม่คิดว่าจีนจะพยายามบุกรุกรานไต้หวันในเร็ววันนี้”

อย่างไรก็แล้วแต่ นายไบเดน พูดว่าเขาได้ย้ำกับนายสีว่านโยบายของสหรัฐฯ เรื่องไต้หวันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย รวมทั้งเขาอยากให้ความไม่ถูกกันที่เกิดขึ้น “ได้รับการแก้ไขอย่างสงบ”

ผู้นำสหรัฐฯ บอกอีกว่า ท่าทีของนายสี “ไม่อ้อมค้อม” ดังที่เขาเป็นมาตลอด แต่ก็พูดว่าดูนายสีพร้อมจะประนีประนอมในบางเรื่อง

ที่ผ่านมา สื่อของรัฐจีนรายงานถึงการคุยกันเป็นเวลายาวนานกว่า 3 ชั่วโมงของผู้นำทั้งคู่ว่า นายสีได้เตือนให้สหรัฐฯ อย่า “ล้ำเส้น” เรื่องไต้หวัน

ในเรื่องของยูเครน สื่อของจีนกล่าวว่า นายสีบอกว่าเขาไม่สบายใจมากเรื่องสถานการณ์การสู้รบในยูเครนที่ไม่จบสิ้นมาหลายเดือนแล้ว ที่ผ่านมา จีนได้ออกมาเรียกร้องให้รัสเซียใคร่ครวญแต่ก็ไม่ได้ถึงกับประณามรัสเซียซึ่งเป็นคู่ค้าของตน

สงครามเย็น ระหว่างสหรัฐ

พบกันด้วยตัวเองครั้งแรก สงครามเย็น

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน รวมทั้งนายสี จิ้นผิง ผู้นำจีน พบกันที่เกาะบาหลี อินโดนีเซีย เมื่อชวงบ่ายของ 14 พฤศจิกายน ก่อนเข้าร่วมสัมมนาผู้นำ G20 ซึ่งเป็นเวทีปรึกษาขอคำแนะนำเพื่อเกื้อหนุนความร่วมแรงร่วมใจทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศพัฒนาแล้วรวมทั้งเศรษฐกิจขนาดใหญ่

เป็นครั้งแรกที่ผู้นำสหรัฐฯ รวมทั้งจีน พบกันด้วยตัวเองนับจากนายไบเดน รับตำแหน่งเมื่อปี 2020 รวมทั้งเป็นการพบกันเวลาที่ความเกี่ยวพันของมหาอำนาจทั้งคู่ประเทศแตกคอ

คาดว่าหัวข้อสำคัญสำหรับในการพูดคุยจะอยู่ที่เรื่องของไต้หวันที่จีนอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของจีน แต่ว่าไต้หวันไม่คิดแบบนั้น

สัมพันธ์อันเย็นชา

ก่อนหน้าการพบปะกันคราวนี้ นายไบเดน ได้แสดงทีท่าประนีประนอมต่อจีน แต่ว่าถึงแบบงั้นความเกี่ยวพันระหว่างสองประเทศยังเป็นไปอย่างเย็นชา

ก่อนหน้านี้จีนจะต้องเผชิญการทำศึกการค้ากับสหรัฐฯ และล่าสุดสหรัฐฯ ยังบากบั่นไม่ให้จีนเข้ามาแทรกแซงตลาดผลิตชิปซึ่งใช้เทคโนโลยีชั้นสูงของสหรัฐฯ ซึ่งผู้ที่มีความชำนาญบางคนมีความคิดเห็นว่าสหรัฐฯ ตั้งใจกัดกันจีน “ทุกวิธีทาง” ฝ่ายจีนมีความคิดเห็นว่าความเกี่ยวพันอันเย็นชาของทั้งสองฝ่ายมีต้นตอจากความมั่นหมายของสหรัฐฯ ที่อยากเป็นชาติที่เหนือกว่า

ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนและมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ มองจีนว่าเป็นภัยคุกคามต่อโลกมากยิ่งกว่ารัสเซีย รวมทั้งสหรัฐฯ เริ่มออกมาชี้ว่ามีความน่าจะเป็นที่จีนจะรุกรานไต้หวันจริง

เหตุการณ์สถานะการณ์ความเกี่ยวพันเวลานี้พ้นจุดที่ทั้งสองฝ่ายเคยเห็นว่าวิวัฒนาการที่เสมอภาคจะมีความหมายเหนือกว่าความต่างทางความนึกคิดรวมทั้งความไม่ถูกกันของชาติที่เป็นมหาอำนาจอยู่แล้วกับอีกชาติที่กำลังก้าวขึ้นมา

จีนต้องการสานสัมพันธ์ งดการก่อ สงครามเย็น

ผู้ที่มีความชำนาญกล่าวถึงเรื่องจีน ระบุว่า จีนบอกมาโดยตลอดว่าไม่ต้องการให้ความเกี่ยวพันกับสหรัฐฯ อยู่ในสภาพติดหล่ม แต่ว่ามีความคิดเห็นว่าเป็นหน้าที่ของสหรัฐฯ ที่จะทำให้ความเกี่ยวพันดีขึ้น

ยาเหว่ย ลิว ผู้อำนวยการโครงงานจีน ของ Carter Center หน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไร บอกกับสถานีวิทยุกระจายเสียงบีบีซีแผนกภาษาจีนว่า “ในเวลานี้จีนมีทัศนะที่แจ้งชัดว่า…อยากได้รื้อฟื้นความเกี่ยวพัน

เขาพูดว่าก่อนการสัมมนาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 เมื่อเร็วๆนี้ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้เดินทางไปเยี่ยมสหรัฐฯ รวมทั้งบอกกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสหรัฐฯ ว่า จีนและสหรัฐฯ “จำเป็นจะต้องหาทางให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ”

อย่างไรก็แล้วแต่ ผู้ที่มีความชำนาญเกี่ยวกับเรื่องจีนคนนี้ไม่ได้หวังผลจำนวนมากจากการพบกันของสองผู้นำ

“ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ มักจะทำอะไรที่ออกแนวแข็งกระด้าง” เขาระบุถึงการห้ามส่งออกชิปไปยังจีน

ไบเดน ระบุสหรัฐฯ ไม่ได้อยากต้องการความไม่ถูกกัน

นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนและมั่นคงของสหรัฐฯ บอกกับผู้สื่อข่าวที่เดินทางร่วมคณะมาพร้อมกับเรือบินแอร์ ฟอร์ซ วัน ว่านายไบเดน จะชี้ชัดว่า “สหรัฐฯ เตรียมการรับการแข่งขันอย่างรุนแรงกับจีนแต่ว่าสหรัฐฯ ไม่ได้อยากได้เจอหน้า”

นายไบเดนจะกล่าวด้วยว่า “ทุกชาติ รวมทั้งสหรัฐฯ รวมทั้งสาธารณรัฐประชากรจีน ควรจะบริหารจัดการตามกฎที่เป็นที่ตกลงกัน รวมทั้งความอิสระในการเดินเรือ, สนามแข่งขันด้านเศรษฐกิจที่เป็นธรรม| โดยไม่มีการคุกคามข่มขู่ หรือบังคับ หรือรุกราน”

นายซัลลิแวนกล่าวด้วยว่านายไบเดนจะมีโอกาสได้สนทนากับนายสีอย่างไม่อ้อมค้อม รวมทั้งหวังว่านายสีก็จะมีท่าทีที่ไม่อ้อมค้อมเช่นกัน เพื่อที่ว่าทั้งสองฝ่ายจะเข้าใจกันและกันมากขึ้นว่าจะบริหารความเกี่ยวพันระหว่างกันอย่างไร

จี 20 คืออะไร

กรุ๊ปจี 20 คือกรุ๊ปความร่วมแรงร่วมใจทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศพัฒนาแล้วรวมทั้งเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ซึ่งมีสมาชิก 20 ประเทศ เมื่อนับรวมผลิตผลด้านเศรษฐกิจในกรุ๊ปจี 20 แล้ว มีมูลค่าราว 85% รวมทั้งมีมูลค่าการค้าคิดเป็น 75% ของทั้งโลก ในช่วงเวลาที่มีปริมาณประชากรราว 2 ใน 3 ของโลก

สมาชิกกรุ๊ปจี 20 มีสหภาพยุโรป รวมทั้งอีก 19 ประเทศ ได้แก่ อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย บราซิล แคนาดา จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี อินเดีย อินโดนีเซีย อิตาลี ญี่ปุ่น เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดีอาระเบียบ แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ ตุรกี สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ ในช่วงเวลาที่สเปน มักได้รับเชิญร่วมสัมมนาเป็นประจำ

สงครามเย็น กับจีน

ขณะที่สเปนได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมเสมอในฐานะแขกรับเชิญถาวร

ประเทศ G20 มีจีดีพีคิดเป็นกว่าปริมาณร้อยละ 80 ของจีดีพีโลก ส่วนหัวข้อการหารือก็กว้างใหญ่ครอบคลุมตั้งแต่เศรษฐกิจ ความเคลื่อนไหวลักษณะของอากาศ ไปจนถึงความยั่งยืนมั่นคงด้านพลังงาน แต่ละปีประเทศที่รับหน้าที่ประธานจะเป็นผู้กำหนดวาระการประชุม

อินโดนีเซียซึ่งเป็นประธานหมุนเวียนในปีนี้ อยากให้เวที G20 ที่อินโดนีเซียมีความสนใจไปที่มาตรการด้านสาธารณสุขของโลกรวมทั้งการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการระบาดใหญ่ของโควิด รวมทั้งยังต้องการส่งเสริม|สนับสนุน|เกื้อหนุน|ช่วยเหลือ|ผลักดัน}การรับรองพลังงานยั่งยืนด้วย

ขณะเดียวกัน G20 ก็เป็นเวทีให้บรรดาผู้นำหรือผู้แทนรัฐบาลที่ร่วมสัมมนาได้ปรึกษาขอคำแนะนำความเกี่ยวพันทวิภาคีกันนอกรอบด้วย

เพื่อจัดเตรียมการเป็นเจ้าภาพสัมมนา G20 ที่เกาะบาหลีรอบนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียได้กำหนดมาตรการด้านสุขภาพที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด

โดยที่เขตนูซา ดูอา บนเกาะบาหลีซึ่งเป็นสถานที่จัดการสัมมนา ได้มีการประกาศล็อกดาวน์เมื่อวันที่ 11 เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาไปจนถึง 17 เดือนพฤศจิกายน รวมถึงมีกฎให้ผู้เข้าร่วมต้องใส่หน้ากากอนามัยขณะที่อยู่ภายในอาคารรวมทั้งรอบสถานที่จัดการสัมมนา

ขณะเดียวกัน รัฐบาลอินโดนีเซียยังได้จัดหายานพาหนะไฟฟ้ากว่า 1,000 คัน เพื่อเป็นยานพาหนะหลักในการรับส่งผู้เข้าร่วมการประชุม G20 เพื่อบ่งบอกถึงความพากเพียรของอินโดนีเซียในการลดการปล่อยคาร์บอนด้วย