ชาติเบอร์ 1 ของเอเชีย เปลี่ยนไปแล้วหลังอิหร่าน แพ้อังกฤษ แบบขาดลอย 2-6 ในนัดเปิดสนามของฟุตบอลโลก 2022 และทำให้อันดับโลกร่วงยับ
วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน 2565 ควันหลงหลังจากเกมนัดเปิดสนามของ ทีมชาติอังกฤษ ในศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายที่ประเทศกาตาร์ เมื่อช่วงเวลาค่ำวานนี้
ที่เอาชนะ ทีมชาติอิหร่าน ทีมอันดับ 20 ของโลก ไปด้วยสกอร์ 6-2 นำจ่าฝูงของกลุ่ม บี ในช่วงเวลานี้
ความพ่ายแพ้สุดยับเยินของ อิหร่านในเกมนี้ส่งผลให้พวกเขาอันดับโลกเรียลไทม์ตกจากอันดับ 20 ลงมาอยู่อันดับ 26 จากเดิมที่มี 1565 คะแนน ตกมามีแค่ 1,545.19 หรือโดนลบคะแนนไปมากถึง -19.42 คะแนน และทำให้เสียอันดับ 1 ของเอเชียให้กับทีมชาติญี่ปุ่น ที่รั้งในอันดับที่ 24 ไปแล้ว
ในขณะที่ ทีมชาติอังกฤษ ผู้ชนะในเกมนี้ยังคงรั้งอันดับ 5 ของโลก แต่จากเดิมที่มี 1,728 คะแนน ได้บวกเพิ่มมาอีก 17.30 แต้ม ทำให้เปลี่ยนเป็นมี 1,745.77 ติดตามหลังฝรั่งเศส อันดับ 4 อีกแค่ 14.01 คะแนนเพียงแค่นั้น ส่วนอันดับของโลก อย่าง บราซิล ก็ลอยลำอยู่ด้วยการมี 1,841.30 คะแนน
อังกฤษ ถล่ม อิหร่าน 6-2 ประเดิมสวยศึกฟุตบอลโลก 2022
เกมฟุตบอลโลก 2022 กรุ๊ป บี นัดแรก อังกฤษ รองแชมป์ยูโร 2020 เจอกับ อิหร่าน ทีมเบอร์ 1 เอเชีย
เกมนี้ แกเร็ธ เซาธ์เกต เลือก บูคาโย่ ซาก้า ออกสตาร์ตก่อน ฟิล โฟเด้น ในเกมรุก โดยมี แฮร์รี่ เคน สวมปลอกแขนกัปตันทีม คีแรน ทริปเปียร์ ได้สตาร์ตด้านขวาแทน ไคล์ วอล์คเกอร์ ที่ยังไม่ฟิต
ทางฝั่ง อิหร่าน คาร์ลอส เคยรอซ เกมนี้มี เมห์ดี้ ทาเรมี่ จากปอร์โต้ เป็นตัวทีเด็ด ซาร์ดาร์ แอซมูน กองหน้าจากเลเวอร์คูเซ่น มีชื่อเป็นแค่สำรองเพียงแค่นั้น
เกมเล่นไปไม่ถึง 10 นาทีเกมจะต้องหยุดไปนานเมื่อ อลิเรซ่า ไบรานวานด์ ผู้เฝ้าประตูไปปะทะกันเองกับ ฮอสซีน ฮอสเซนี่ ลงไปกองและเจ็บที่รอบๆจมูกจะต้องปฐมพยายาม แม้ว่าจะลุกขึ้นมาได้ แต่สุดท้ายก็เล่นต่อไม่ไหว จะต้องถูกเปลี่ยนตัวออก
นาทีที่ 30 โอกาสใกล้เคียงของอังกฤษ บูคาโย่ ซาก้า ตบจากทางขวา มาให้ เมสัน เมาท์ ตวัดยิงแต่บอลเข้าข้างตาข่าย
อีก 2 นาทีถัดมาจากจังหวะฟรีคิก บอลเปิดเข้ามาเป็น แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ได้ขึ้นโหม่งเน้นๆแต่บอลไปชนคานกระดอนออกมาอย่างน่าเสียดาย
แต่แล้ว อังกฤษ มาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 ในนาที 35 ลูกนี้ ลุค ชอว์ เปิดจากทางด้านซ้ายมาให้ จู๊ด เบลลิ่งแฮม ขึ้นโหม่งเน้นทิศทางเข้าไป และเปลี่ยนเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดอันดับ 3 ที่ทำแต้มให้อังกฤษ ได้ในฟุตบอลโลกต่อจาก ไมเคิ่ล โอเว่น และ ลุค ชอว์
นาทีที่ 43 อังกฤษ ขยับหนีเป็น 2-0 จากจังหวะที่ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ โหม่งมาให้ บูคาโย่ ซาก้า ยิงด้วยซ้ายเข้าไปอย่างงดงาม
ช่วงนาที 45+1 แฮร์รี่ เคน เปิดจากด้านขวามาให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง กระโดดชาร์จ เข้าไป ให้อังกฤษ นำห่าง 3-0
ครึ่งแรกมีการทดถึง 14 นาทีด้วยการจากการที่ อลิเรซ่า ไบรานวานด์ มีอาการเจ็บ แต่ก็ไม่มีประตูเพิ่ม จบครึ่งแรก อังกฤษ นำ 3-0
กลับมาครึ่งหลังเกมยังคงเป็นของอังกฤษ ที่ดีมากยิ่งกว่า นาทีที่ 62 เป็น บูคาโย่ ซาก้า ที่ทำแต้มที่ 2 ให้ตนเองหลังหาช่องยิงด้วยซ้ายและเป็นประตูให้อังกฤษ นำ 4-0
นาทีที่ 65 อิหร่าน มาได้ประตูตีไข่แตก ไล่มาเป็น 1-4 เมห์ดี้ ทาเรมี่ ยิงด้วยขวาตามน้ำเสยใต้คานเข้าไป
หลังนำห่าง นาทีที่ 70 อังกฤษ เปลี่ยนผู้เล่นโดย ส่ง ฟิล โฟเด้น, แจ็ค กรีลิช และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ลงมาในเกมรุก ส่วน เอริค ดายเออร์ ลงมาแทน แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่มีอาการเจ็บเล่นต่อไม่ไหว
นาทีที่ 71 แรชฟอร์ด ที่ลงมาสัมผัสแรก รับบอลจาก แฮร์รี่ เคน ก่อนยิงด้วยซ้ายเข้าไป อังกฤษ นำ 5-1
ช่วงท้ายเกมอังกฤษ ไม่เร่ง และเผาเวลาให้หมดไป และนาที 90 คัลลั่ม วิลสัน มาจ่ายให้ แจ็ค กรีลิช แปง่ายๆเข้าไป จบเกม อังกฤษ เป็นประตูที่ 6
ช่วงทดเจ็บที่นานถึง 10 นาที อิหร่าน มาได้จุดลูกโทษ หลังจากผู้ตัดสินดู VAR และพบว่า จอห์น สโตน ไปดึง ก่อนเป็น เมห์ดี้ ทาเรมี่ ยิงไม่พลาด ในนาที 103 จบเกม อังกฤษ ถล่ม อิหร่าน 6-2 เก็บ 3 แต้มได้อย่่างสวย
ด้วยการชนะ อิหร่าน 6-1 โดยเกมนัดต่อไป อังกฤษ จะเจอสหรัฐอเมริกา วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายนนี้ ส่วน อิหร่าน จะพบกับ เวลส์ ในวันเดียวกัน
รายชื่อผู้เล่น 11 ตัวจริงทั้งสองทีม
อังกฤษ (4-2-3-1)
จอร์แดน ฟิคฟอร์ด ; คีแรน ทริปเปียร์, จอห์น สโตน, แฮร์รี่ แม็คไกวร์, ลุค ชอว์; ดีแคลน ไรซ์, จู๊ด เบลลิ่งแฮม ; บูกาโย่ ซาก้า, เมสัน เมาท์, ราฮีม สเตอร์ลิง ; แฮร์รี่ เคน
อิหร่าน (4-5-1)
อลิเรซ่า ไบรานวานด์ ; ซาเดก โมฮารามี่, มอร์เตซ่า ปูราลิกานจี, รูซเบห์ เชสมี่, ฮอสซีน ฮอสเซนี่, มิลาด โมฮัมเมดี้ ; อลิเรซา ยาฮันบัคช์, อาห์หมัด นูรอลลาฮี, เอลี่ คาริมี่, อีห์ซาน ฮาจซาฟี่ ; เมห์ดี้ ทาเรมี่